เชื่อหรือไม่ว่ายังมีค่านิยมผิดๆ ในหมู่วัยรุ่นที่มักจะมีเซ็กซ์เพื่อพิสูจน์ความรักกันในช่วงวันวาเลนไทน์ อันเป็นเหตุหนึ่งของจำนวนวัยรุ่นตั้งท้องก่อนวัยอันควร สสส. เดินหน้าจับมือภาคีทุกภาคส่วนทั้ง 5 กระทรวงหลัก พร้อมเอกชน เอ็นจีโอ และสถานศึกษาทุกระดับ ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ในทุกมิติ ทั้งการป้องกัน การรับมือเมื่อเกิดปัญหา และสิทธิ์พื้นฐานของวัยรุ่น มุ่งหวังลดตัวเลขวัยรุ่นตั้งท้องให้ต่ำกว่า 25 ต่อ 1,000 คน ภายในปี 69
ก้าวสำคัญหลังจากมี พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 ได้เกิดการประชุมระดับชาติ สุขภาวะทางเพศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้เป็นการจัดครั้งที่ 3 ภายใต้แนวคิด “การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น: จากยุทธศาสตร์ สู่การปฏิบัติที่ยั่งยืน” จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ยูนิเซฟประเทศไทย มูลนิธิแพธทูเฮลท์ (P2H) มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง รวมถึงภาคีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในระหว่างวันที่ 28-30 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โดยมี นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ คนที่ 2 เป็นประธานในพิธีเปิด
นพ.วีระพันธ์ กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ.2560-2569 วางเป้าหมายลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นให้เหลือต่ำกว่า 25 ต่อประชากร 1,000 คน ภายในปี 2569 โดยเน้นส่งเสริมการเรียนรู้เพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต ส่งเสริมบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการป้องกันปัญหา จัดบริการวิธีคุมกำเนิดที่วัยรุ่นเข้าถึงได้ง่าย และจัดสวัสดิการสังคมสำหรับวัยรุ่นตั้งครรภ์”
“ตัวเลขวัยรุ่นตั้งท้องนั้นมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ซึ่งสัมพันธ์กับตัวเลขของวัยรุ่นชายที่มีการใช้ถุงยางมากขึ้น ผลกระทบจากปัญหาวัยรุ่นท้องนี้ทำให้เกิดปัญหาสังคมอื่นตามมามากมาย จึงถือว่าเป็นประเด็นระดับชาติที่ทุกคนต้องช่วยกันอย่างจริงจัง” ประธานในพิธีกล่าว
ด้าน สสส. แกนนำการจัดงาน โดย ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “แม้ตัวเลขเด็กตั้งท้องจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงถึงวันละ 225 ราย ในส่วนของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาตินั้น สสส. ร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์ ได้สนับสนุนและทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ พัฒนาระบบและเครื่องมือช่วยพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนรู้เพศวิถีศึกษาในสถานศึกษาทุกระดับ รวมถึงกำลังพัฒนาเครื่องมือเสริมทักษะพ่อแม่เพื่อให้มีทักษะการสื่อสารเชิงบวก และพูดคุยเรื่องเพศกับลูกหลานวัยรุ่นได้ เน้นปรับเปลี่ยนฐานคิดในสังคมไทยให้มีมุมมองเชิงบวกต่อเรื่องเพศ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้อย่างยั่งยืน” ดร.สุปรีดา กล่าว
ในวันเดียวกันแกนนำเยาวชนจากเครือข่ายป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นได้เดินทางไปยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กลุ่มเด็กโตและวัยรุ่นอายุ 6-24 ปี เข้าถึงบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน และคำแนะนำการใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และตั้งครรภ์ ตามที่ปรากฏในคู่มือผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพ ลำดับที่ 18 เรื่องบริการอนามัยเจริญพันธุ์ และการป้องกันและควบคุมการตั้งครรภ์วัยรุ่นและการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
ด้วยสังคมไทยนั้นยังมีค่านิยมเกี่ยวกับการพูดเรื่องเพศวิถีในพื้นที่จำกัดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยครอบครัว แม้ว่าลูกจะมีข้อสงสัย หรือพ่อแม่ต้องการสอนลูก ก็ยังเป็นเรื่องยากเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาวัยรุ่นเองก็เลือกที่จะหนีปัญหาด้วยการทำแท้งเถื่อน เพราะไม่ต้องการถูกสังคมและครอบครัวต่อว่า แนวทางของการแก้ปัญหานี้เริ่มต้นได้จากการเปิดใจ เปิดปากกล้าพูด กล้าสอน กล้ายอมรับ และกล้าให้โอกาส
“เด็กท้องต้องได้เรียน” เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ถูกนำมาเป็นหัวข้ออภิปรายในงานนี้ นำโดย นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และ 5 คุณครูในสถานศึกษาทุกระดับตั้งแต่มัธยม อุดมศึกษา อาชีวศึกษา กศน. และภาครัฐอย่างมหาดไทย มุ่งนำเสนอแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวทางการจัดการปัญหา “ท้องในสถานศึกษา” ว่าจะต้องทำอย่างไร
นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า “เมื่อวัยรุ่นท้องแล้ว ทำไมจึงต้องออกจากโรงเรียน สาเหตุหลักๆ นั้นมาจากทั้งฝั่งโรงเรียนที่ไม่อนุญาตให้เด็กเรียนต่อ ทางนักเรียนเองก็อับอายไม่ต้องการเรียนในสังคมเดิม หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองที่ต้องการให้เด็กหยุดเรียน
“แท้จริงแล้วการตั้งท้องไม่ได้เป็นเหตุผลในการยุติการเรียน เพียงแต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการศึกษาต่อ โดยเริ่มจากปรับทัศนคติของครูผู้สอน เด็กตั้งท้องคือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่เด็กที่ต้องถูกกำจัด เพราะการศึกษานั้นจะทำให้วัยรุ่นได้มีโอกาสเรียนรู้ เติบโต และเป็นช่องทางในการสร้างอาชีพ สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวต่อไปในอนาคต”
เชื่อหรือไม่ว่าเยาวชนส่วนใหญ่ที่ตั้งท้องในวัยเรียนนั้นเป็นกลุ่มเรียนดี บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังตั้งครรภ์ นั่นเป็นตัวชี้วัดว่า การศึกษาเรื่องเพศของสังคมไทยนั้นมีปัญหาถึงขั้นไหน ในอดีตนั้นการศึกษานอกโรงเรียน หรือ กศน. เป็นทางเลือกแรกๆ ที่รับนักเรียนทุกช่วงอายุ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการมีลูก อาจารย์วิบูลผล พร้อมมูล ผอ.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) นครปฐม กล่าว
ด้าน อาจารย์ภิญโญ ภูศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสังเวช กรุงเทพฯ สังกัด สพฐ. กล่าวว่า ที่โรงเรียนเคยมีเด็กชั้น ม.ต้น ตั้งครรภ์ ซึ่งผู้ปกครองและเด็กต้องการเรียนต่อ ทางโรงเรียนจึงปรับวิธีการเรียนการสอนใหม่ เด็กตั้งครรภ์ต้องอยู่ในความดูแลของครูและเพื่อนสนิทอย่างใกล้ชิด และเมื่อมีอายุครรภ์มากแล้วจะให้เด็กกลับไปเรียนที่บ้าน โดยมีพ่อแม่เป็นธุระในการรับส่งมอบงานให้ และที่สำคัญต้องตีวงจำกัดคนที่รับรู้เรื่องนี้ให้แคบที่สุด เพื่อไม่ให้เด็กอับอาย ขณะเดียวกันต้องสื่อสารเน้นย้ำไปถึงบุคลากรครูทุกคนในเรื่องจรรยาบรรณวิชาชีพครู ทุกคนต้องช่วยกันประคับประคองเด็กให้ได้เรียนอย่างต่อเนื่องโดยไร้ความกังวลใจ
สาระสำคัญของการอภิปรายนี้ คือ “การรักลูกศิษย์ให้เหมือนลูก” เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เด็กที่ประสบปัญหาตั้งครรภ์ ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 สถานศึกษาทุกแห่งต้องให้เด็กตั้งท้องเรียนต่อ และเปิดโอกาสให้เด็กย้ายสถานศึกษาหากเด็กมีความต้องการ
นับเป็นสัญญาณที่ดี เมื่อผู้ใหญ่ในสังคมขยับตัวกันอย่างจริงจังกับปัญหาวัยรุ่น เพราะการตั้งท้องไม่ใช่แค่ปัญหาของวัยรุ่น แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกัน เพื่อลูกหลาน และสังคมของเรา