สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับมีผู้ชายคนหนึ่งถูกเรียกเก็บภาษี เป็นเงินจำนวนกว่า 400 ล้านบาท ...
ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าอาจจะต้องชำระภาษีสูงถึง 800 ล้านบาท โดยที่ผู้ชายคนดังกล่าว มีรายได้เพียงแค่วันละ 500 บาท และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่กรมสรรพากรมีหนังสือแจ้งให้ชำระภาษี กรณีแบบนี้ควรทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ท่านตกเป็นผู้ต้องหาในอนาคต
กรณีปัญหาที่เกิดขึ้น มีอุทาหรณ์ที่น่าสนใจ คือ ผู้ชายคนดังกล่าวไม่ไปพบเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงตั้งแต่แรก จากการสอบถามข้อเท็จจริงเบื้องต้น ทราบว่าผู้ชายคนดังกล่าวไปทำงานที่อื่น โดยที่ไม่ได้ย้ายภูมิลำเนาตามไปด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรส่งหนังสือแจ้งเพื่อให้ชำระภาษีฉบับแรกไปตามภูมิลำเนาเดิมที่ปรากฏในทะเบียนราษฎร ผู้ชายคนดังกล่าวจึงไม่ทราบว่ามีหนังสือแจ้งจากกรมสรรพากร และมิได้ไปพบเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรตามกำหนดนัด กระทั่งเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้มีหนังสือแจ้งตามไปอีกสองฉบับ รวมทั้งหมดสามฉบับ แต่ผู้ชายคนดังกล่าวก็ยังคงเพิกเฉยไม่ไปพบเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง สุดท้ายจึงถูกดำเนินการตามกฎหมาย และต้องชำระค่าปรับในที่สุด
เรื่องนี้เป็นข่าวดังขึ้น เนื่องจากผู้ชายคนดังกล่าวร้องเรียนต่อสื่อมวลชนหลายสำนัก จนเป็นข่าวดังหน้าหนึ่ง ทราบเบื้องต้นว่าผู้ชายคนดังกล่าวนั้น ถูกแอบอ้างชื่อให้เข้าไปเป็นกรรมการของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกประเมินภาษีโดยเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เป็นเงินภาษีจำนวน 400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่นำเอาเอกสารของผู้ชายคนดังกล่าวไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา ในข้อหาปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน รวมถึงข้อหาอื่นๆ
...
ส่วนใหญ่การถูกนำชื่อไปใช้ในบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต มาจาก 3 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. ถูกหลอก ขอนำสำเนาบัตรประชาชนไปใช้ หรือถูกหลอกให้เข้าไปเป็นกรรมการแทน
2. สมัครใจส่งมอบสำเนาบัตรประชาชน เพื่อให้การสนับสนุนผู้ที่มีเจตนาจะเลี่ยงภาษี หรือสมรู้ร่วมคิดกับผู้ที่มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงภาษีมาตั้งแต่ต้น
3. ถูกนำสำเนาบัตรประชาชนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านถ่ายเอกสารถ่ายสำเนาบัตรประชาชนเกินกว่าจำนวนที่สั่ง หรือ มีมิจฉาชีพนำสำเนาบัตรประชาชนที่ไม่ได้ขีดคร่อมไปใช้ หรือถูกแอบถ่ายภาพบัตรประชาชนจากการแลกบัตรเข้าสู่อาคารหรือหน่วยงานต่างๆ
นอกจากนี้กรณีนี้หลีกเลี่ยงภาษี อาจจะถูกดำเนินคดี ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท
(1) โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ
(2) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้
มาตรา 37 ทวิ ผู้ใดโดยเจตนาไม่ยื่นรายการที่ต้องยื่นตามลักษณะนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
กรณีการหลีกเลี่ยงภาษีเกินกว่า 10 ล้านบาท หรือขอคืนภาษีเกินกว่า 2 ล้านบาท ประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ตรี อาจจะถูกดำเนินคดี ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 60 ผู้ใดกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สุดท้ายนี้ หากท่านได้รับหมายเรียกจากกรมสรรพากรควรจะรีบเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริง และแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ที่นำสำเนาบัตรประชาชนของท่านไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือนำสำเนาบัตรประชาชนของท่านไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านต้องตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับผู้ที่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
ขอฝากเตือนท่านผู้อ่านทุกท่าน สำหรับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเป็นเอกสารสำคัญที่ควรขีดคร่อมให้ชัดเจนว่าจะนำไปใช้ เพื่อวัตถุประสงค์ใด หน่วยงานใด และลงวันที่ทุกครั้งที่นำไปใช้ ที่สำคัญการขีดคร่อมควรขีดทับภาพหน้าของเรา เพื่อไม่ให้มีการแก้ไขภาพ และเพื่อปกป้องมิให้มิจฉาชีพนำไปใช้ในทางอื่น
กรณีแลกบัตรเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ควรใช้บัตรอื่นแทนบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อมิให้ใครแอบถ่ายบัตรฯ เอาไปใช้ในทางอื่น
กรณีนำบัตรประชาชนไปถ่ายที่ร้าน ควรจะดูให้แน่ใจว่าถ่ายออกมาตามจำนวนที่เราสั่งหรือไม่ ถ้ามีการถ่ายสำเนาเกินหรือว่าถ่ายเสีย ควรให้ร้านฉีกหรือทำลายทันที
สำหรับท่านที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com ได้เลยครับ
Facebook: ทนายเจมส์ LK