เปิดแนวคิดการขจัดปัญหาความยากจนในประเทศจีน คนจนลดลงฮวบใน 40 ปี เผยสอนประชาชนให้หาปลา ดีกว่ายื่นปลาให้ตรงๆ หนุนคนชนบทค้าขายออนไลน์ ปราบคอร์รัปชัน...
แฟนเพจ อ้ายจง เปิดเผยแนวคิดการขจัดปัญหาความยากจนในประเทศจีน ที่ใช้เวลาเพียง 40 ปี ลดจำนวนคนจนจาก 97.5% เหลือเพียง 3.1% เมื่อสิ้นปี 2017 จากนโยบาย "ขจัดความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตชนบท-พื้นที่ห่างไกล" ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของจีนนับตั้งแต่มีการปฏิรูปประเทศ
ทั้งนี้ จีนมีการแปลงเปลี่ยนตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนเพื่อให้สภาพความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ไม่ได้ยื่นปลาให้ตรงๆ แต่สอนให้จับปลาเป็น เช่น การให้ทุนพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งจะไม่ได้ทุ่มเงินไปเฉยๆ แต่มีการตั้งหน่วยงานขจัดความยากจนขึ้นมา มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บข้อมูลตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด
สำหรับพื้นที่ภูเขาห่างไกลจะมีการพัฒนาทำถนน สร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว สนับสนุนทางด้านการเกษตร พัฒนาที่พักอาศัยในชนบทให้ดีขึ้น นอกจากนี้ E-commerce หรือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ยังมีบทบาทสำคัญในการขจัดความจน เนื่องจากหมูบ้านในชนบทต่างค้าขายออนไลน์จำนวนมาก จากการสนับสนุนของทั้งภาครัฐและเอกชน
...
"จีนไม่ได้ประสบความสำเร็จเลยในปีแรกๆ ของการเริ่มนโยบาย แต่มีการพัฒนามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะการก่อตั้งหน่วยงานขจัดความยากจนขึ้นมาอย่างจริงจัง และกระจายอำนาจให้หน่วยงานท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีการอัดฉีดเม็ดเงินลงไป และมีการแข่งขันอยู่กลายๆ ของแต่ละท้องถิ่น จีนเอาจริงกับเกณฑ์ชี้วัดเจ้าหน้าที่รัฐในท้องถิ่นของจีน มีเกณฑ์เกี่ยวกับพัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาความเป็นอยู่ การพัฒนาสังคม อยู่ในนั้นด้วย โดยมาตรการปราบคอร์รัปชัน ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้การพัฒนาท้องถิ่นจีนเพื่อขจัดความยากจน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ"
แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีแรงงานจำนวนไม่น้อยยังมองว่า การหาเงินในเมืองใหญ่ยังดีกว่ามาก ซึ่งทางจีนก็กำลังแก้ไขปัญหานี้เช่นกันเพื่อให้ไม่มีความเหลื่อมล้ำของประชากรระหว่างชนบท-เมืองใหญ่ (มากเกินไป) และแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้ได้มีคนเข้ามาแสดงคามคิดเห็นจำนวนมาก โดยบางส่วนระบุว่า แนวคิดขจัดความยากจนของจีนมีความคล้ายกับ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 "เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า" เป็นต้น.
(ภาพและข้อมูลจาก แฟนเพจ อ้ายจง)