พี่สาวทนไม่ไหว หลังน้องชายป่วยความดันสูงต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะถูกรับน้องโหด ซ้ำขัดคำสั่งสถาบัน ด้านรุ่นพี่ฉุนส่งข้อความฉะ ทั้งหมดพังเพราะคนเดียว คนอื่นหนักกว่านี้ยังรับได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 61 ที่ผ่านมา พบผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaya Janz Watth โพสต์เรื่องราวของน้องชายที่พบว่าความดันโลหิตขึ้นสูงหลังเข้ารับน้อง ซึ่งน้องชายได้บอกรุ่นพี่แล้วว่ามีโรคประจำตัวเป็นความดันสูงแต่รุ่นพี่ไม่ฟัง
“ภายใต้การสั่งให้แก้ผ้ากลิ้งบนพื้นตอซังข้าว พื้นหนาม พอเป็นแผลตามตัวแล้วเอาเกลือป่นทำกับข้าวละลายน้ำ เทราดตัวน้อง ท่ามกลางอากาศหนาว กลางทุ่งนา ที่โล่ง มืดสนิท ไม่มีไฟสักดวง ทั้งเจ็บ ทั้งเหนื่อย ทั้งหนาว ทั้งหิว ในขณะที่พวกคุณดื่มสุราและออกคำสั่งกับน้องอย่างสนุกสนาน #พวกคุณทำเพื่ออะไร”
ทั้งนี้ พี่สาวระบุว่าติดต่อน้องไม่ได้ตั้งแต่ 19.00 - 01.00 น. น้องชายถูกพาไปทรมานร่างกายหลายชั่วโมง ข้าวไม่ได้กิน เสื้อผ้าไม่ได้ใส่ และนี่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ทั้งที่ทางสถาบันสั่งห้ามไม่ให้มีการรับน้องนอกสถาบัน และสั่งหมดเวลารับน้องไปแล้ว จึงตั้งคำถามว่า เหตุใดกลุ่มคนเหล่านี้จึงท้าทายกฎระเบียบของสถาบัน หากน้องหมดสติไม่หายใจจะรับผิดชอบไหวหรือไม่
ล่าสุด เมื่อเวลา 20.32 น. วันที่ 1 ธ.ค. 61 ผู้โพสต์คนเดิมได้ลงข้อความชี้แจงเพิ่มเติมในเรื่องที่เกิดขึ้นโดยขอยกมาบางช่วงบางตอนว่า ทุกครั้งที่เราเห็นน้องกลับมาแล้วเสื้อผ้าเลอะเทอะไปทั้งตัว เนื้อตัวน้องมีแต่แผล มันไม่แปลกค่ะที่เราจะต้องถามน้องว่าเกิดอะไรขึ้น .. น้องชายเราไม่เคยฟ้อง ไม่เคยพูดกับเราว่าทนไม่ไหว เอาแต่ขอให้เราอย่าเอาเรื่องรุ่นพี่ ร้องขอให้เราไม่ไปแจ้งเรื่องกับทางมหาวิทยาลัย น้องพูดแค่ว่าจะทนเท่าที่ทนได้ จะยอมเท่าที่ยอมไหว ขอให้เรารอตามที่รู้มาว่า การรับน้องจะจบลงหลังจากที่ขึ้นเทอมสอง เราก็เลยโอเค แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นตัวเราเองที่ทนไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นในเทอมใหม่แล้ว แต่พวกคุณก็ยังไม่หยุดรับน้อง เราติดต่อน้องชายไม่ได้ เราจึงเปิดหา gps จากสัญญาณมือถือน้องว่าน้องไปอยู่ที่ไหน เมื่อเรารู้แล้ว .. สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจไปดักรอพวกคุณที่สาขา ไม่ใช่เพราะน้องชายมาฟ้องนะคะ ขอให้พวกคุณเข้าใจด้วย
...
การที่น้องจะยอมไปร่วมกิจกรรมกับพวกคุณ มันเป็นเพราะน้องกลัวว่าจะไม่มีเพื่อน น้องกลัวว่าจะไม่ได้รุ่น และที่สำคัญ น้องกลัวว่าพวกคุณจะเดือดร้อน น้องจึงไม่เคยมาฟ้องผู้ปกครองเลย ทั้งที่น้องปกป้องพวกคุณ แต่พวกคุณก็ยังกลับคิดไม่ได้ ยังพยายามปลุกปั่น ยังพยายามเข้าหาและกดดันน้องโดยการส่งข้อความส่วนตัวมาหาน้องด้วยอารมณ์ต่างๆ เราจะบอกพวกคุณเอาไว้เลยนะว่ามันไม่มีประโยชน์ค่ะ เพราะตอนนี้ผู้ที่ตัดสินใจและคอยดูแลปัญหานี้ มันไม่ใช่น้องชายของเราค่ะ แต่เป็นเราและผู้ปกครองต่างหากที่มีอำนาจจัดการและตัดสินใจในเรื่องนี้ พวกคุณไม่ต้องมาเปลี่ยนใจน้องหรอกค่ะ พวกคุณควรเอาเวลาไปคิดดีกว่าว่าพวกคุณจะยอมรับและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
การที่เราแจ้งความเอาไว้และยื่นคำร้องถึงมหาลัยฯ เราต่างทำตามระบบของมหาวิทยาลัยที่ผู้ใหญ่แนะนำค่ะ พวกคุณไม่ต้องมาขอให้เราหยุดนะคะเพราะฝ่ายที่ควรจะหยุดคือพวกคุณมากกว่า การที่คุณพูดว่า การที่น้องเปลี่ยนใจไม่เดินไปในทางของพวกคุณต่อนั้น กลายเป็นว่าน้องทำให้พวกคุณเดือดร้อน เราอยากขอให้พวกคุณลองคิดใหม่อย่างมีเหตุผลนะคะว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากใครกันแน่ที่เป็นต้นเหตุ หากพวกคุณไม่แหกกฎมหาวิทยาลัยตั้งแต่แรก สาขาของพวกคุณก็คงไม่ต้องมาสุ่มเสี่ยงกับการโดนปิดหรอกค่ะ สาเหตุหลักมันมาจากพวกคุณต่างหาก
พร้อมกันนี้ เจ้าตัวยังได้โพสต์ภาพข้อความที่รุ่นพี่ส่งมาถึงน้องชายในทำนองคล้ายโยนความผิดว่า ถ้ารับไม่ไหวก็ไม่ต้องรับแล้วกลับบ้านไปหาครอบครัวซะ ถ้าแผนกโดนปิดคนเดือดร้อนคือน้องกับเพื่อนเพราะต้องเสียเวลาเรียน ที่ผ่านมามีหลายคนที่หนักกว่าคุณแต่เขาสู้ ยอมรับและรักในศักดิ์ศรี ไม่ไหวอย่าฝืน เดี๋ยวล้มไม่มีใครพยุงให้ยืนอีก.
(ขอบคุณเฟซบุ๊ก Chaya Janz Watth)