ชาวเน็ตท้วงหลังแฟนเพจเฟซบุ๊กของกรมศิลปากร จังหวัดสุพรรณบุรี เข้าไปท้วงแฟนเพจเฟซบุ๊กสียี่ห้อหนึ่งให้เอาแท็กของสำนักงานออก พร้อมออกแถลงการณ์ตรวจสอบคนบูรณะโบราณสถานทาสีทองทับโบสถ์

เมื่อวันที่ 25 ต.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวโซเชียลและกลุ่มสถาปนิก รวมถึงคนรักโบราณสถานได้มีการพูดถึง การบูรณะโบสถ์วัดโพธาราม จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ถือเป็นโบราณสถานด้วยการนำสีทองไปทา โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากร ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ชาวโซเชียลจำนวนมาก ได้ตั้งคำถามว่า เรื่องการบูรณะวัดนั้นผ่านไปถึง 2 ปีแล้ว ทำไมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงไม่รู้เรื่อง ดังนี้ 

Lalita Hanwong : เขาโพสต์มาตั้งแต่ 2016 แล้ว แต่กรมศิลป์เพิ่งจะทราบข่าว จะบอกว่าคนที่สำนักฯ ไม่เคยเห็นเลยว่ามีการบูรณะวัดให้เป็นแบบนี้ก็คงจะไม่ใช่ละมั้งคะ หรือเป็นเพราะกระแสโซเชียลถึงทำให้สำนักฯ ต้องออกตัวก็ไม่รู้

ศุภฤกษ์ ทับไทร : กรณีตามปัญหามีหน่วยงานเอกชนเข้าติดต่อกับทางวัด เพื่อดำเนินการบรูณะวัดโดยมีการทาสีใหม่ เวลาล่วงเลยพ้นผ่านราว 2 ปี ทางสำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี หน่วยงานของรัฐเพิ่งออกโรง แสดงให้เห็นถึงความบกพร่อง ด้วยความไม่สน ไม่ใส่ใจ ไม่ลงพื้นที่ ไม่ติดตาม บ้าเเต่งานเอกสารจนไม่ใส่ใจความเปลี่ยนเเปลง ครั้นไม่มีการลงโซเชียลก็คงยังไม่ทราบ

ขณะที่ แฟนเพจเฟซบุ๊ก สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กรมศิลปากร ได้โพสต์ข้อความว่า กรุณาลบแท็กหน่วยงานออกด้วย เนื่องจากการดำเนินการครั้งนี้ สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และกรมศิลปากรเองไม่มีนโยบายที่จะใช้วิธีการนี้ในการบูรณะโบราณสถาน ดังนั้นการโฆษณาของท่านในลักษณะนี้อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดได้

...

ทั้งนี้ สำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กำลังดำเนินการเก็บหลักฐานวัดทุกวัด (ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ) ที่ถูกบูรณะทาสีทองด้วยฝีมือเอกชนกลุ่มดังกล่าวนี้ เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย ในกรณีที่วัดนั้นมีสถานะเป็นโบราณสถานต่อไป

ล่าสุด นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้แชร์ภาพการบูรณะวัดต่างๆ โดยใช้สีทาทับโบราณสถาน เช่น วัดโพธาราม และวัดลาวทอง จังหวัดสุพรรณบุรี วัดศรีสโมสร จังหวัดชัยนาท โดยมีกลุ่มบุคคลอ้างว่าได้บริจาคให้วัดด้วยความศรัทธานั้น ขอให้ยุติการกระทำดังกล่าวโดยทันที

ทั้งนี้ เนื่องจากผิดหลักการอนุรักษ์ และเป็นการทำลายความเป็นของแท้ดั้งเดิมของโบราณสถาน อีกทั้งยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากร ตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2539 

ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้สำนักศิลปากรทั่วประเทศ ตรวจสอบข้อมูลโบราณสถานที่มีการกระทำลักษณะดังกล่าวและประสานกับวัดต่างๆ โดยเร่งด่วน ขอให้ยุติการดำเนินการทั้งหมดและหากเป็นการกระทำที่ผิดต่อ พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ.2539 ผู้ดำเนินการจะต้องรับผิดชอบและเข้าหารือกรมศิลปากรเพื่อดำเนินการแก้ไขทันที

(คลิกต้นฉบับ ที่นี่)