เปิดจดหมายคำสั่งเสียสุดท้ายของ 'ไบเกอร์หนุ่ม' ก่อนลั่นไกปลิดชีพ ด้วยความแค้นสุมอก บอกภรรยาที่รัก "พี่จะอยู่ทุกๆ มุมมืด คอยดูเรา พี่ไม่ต้องการไปเกิดใหม่ พอแล้ว.."

จากกรณี นายพัธรพล เอกปฐมศักดิ์ หรือ หนุ่ม อายุ 48 ปี เจ้าของบริษัทอัลวาโร่ ไดฟ์วิ่ง และ ร้านอาหารไพเรท บาร์ บนเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี แต่งกายด้วยชุดขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ใช้อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ใต้คางกระสุนฝังใน 1 นัด เสียชีวิตภายในบ้านพัก

ทั้งนี้ นายพัธรพล ได้เขียนจดหมายสั่งเสียไว้ในเว็บไซต์แห่งหนึ่งพร้อมโพสต์ลิงก์ไว้ที่หน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีใจความตัดพ้อและสั่งเสียครอบครัวไว้ดังนี้ หลังจากลงหลักปักฐานที่เกาะเต่า ตนเลือกมาสอนดำนำ้ลึก Scuba Diving ที่นี่ จนมาพบกับแฟนคนปัจจุบัน  

อย่างไรก็ตาม มีบ้างที่ภรรยา ญาติ และตนจะทะเลาะกัน เนื่องจากภรรยาเป็นคนขี้หึง การทะเลาะกันในแต่ละครั้ง ความอดทนเพื่อประคับประคองให้ครอบครัวและลูกๆ อยู่ด้วยกัน หลายปีผ่านมา ตนถูกไล่มากกว่าห้าครั้ง ลั่นปากว่า ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ต้องใช้เงิน หนึ่งครั้ง ต่อมาตนมีลูก 2 คน แต่ไม่มีความคิด ไม่มีแรงที่จะสานงานต่อ อยู่ไปวันๆเหมือนไร้ค่าไร้ความหมาย แทบไม่ทำงาน ออกทริปขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะมีกำลังใจมาลุยทำงาน

...

ทั้งนี้ ภรรยา เคยเป็นคนชอบเที่ยวมาก่อน เป็นคนที่เข้ากับคนง่าย และคนชอบใกล้ชิดโดยเฉพาะผู้ชาย เวลาเมาคุยสนุก ชอบถึงเนื้อถึงตัว แม้กระทั่งลูกน้องเรือยังยอมให้ลูบหน้าลูบหลัง ขณะที่ตนยังนั่งมองอยู่ 

จากความที่ไว้ใจเพราะตัวเองก็ไม่ทำกับใคร คิดว่าภรรยาคงไม่ทำ แต่เรื่องพวกนี้ ป่วยการที่ต้องไปจับตาดู คนที่ไม่ซื่อสัตย์ อยากมีอะไรกัน ห้านาที สิบนาทีก็แอบมีอะไรกันได้ในทุกที่ แน่นอน ถ้าถามว่าไว้ใจแฟนไหม

ขณะนี้ความเชื่อใจมันหมดไปพร้อมกับกำลังใจที่จะสร้างครอบครัวต่อ อยู่ไปไร้ประโยชน์ เพราะคำว่า "จะไปไหนก็ไป ให้ไปแต่ตัว" มันก้องอยู่ตลอดเวลา รวมถึง "ถ้าไม่ทำงาน ก็ไม่ต้องใช้เงิน" 

ใช่ ผมเหลือแต่ตัวจริงๆ โดยไม่เฉลียวใจมาก่อน เสียดายเวลา เสียดายความคิดที่ทุ่มเท ตอนนี้ตัวเองสุขภาพไม่ดีเหมือนตอนหนุ่มๆ เพราะอีกไม่กี่ปีจะถึง 50 แล้ว ด้วยสถานะปัจจุบัน เป็นหมอนรองกระดูกสามข้อ เป็นนิ้วล็อกทั้งสองข้าง มีปัญหาบ่อยกับระบบทางเดินอาหาร สายตาที่เริ่มไม่ปกติ ปีที่แล้วผ่าตัดไปสองครั้ง วัวแก่ ยามหมดประโยชน์ก็ต้องเข้าโรงฆ่าสัตว์ ผมคงไม่มีประโยชน์สำหรับคนที่นั่นแล้ว 

เมื่อถึงทางแยกแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตอีกครั้ง สามเดือนที่จากไปร่อนเร่ข้างนอกคิดแต่ว่าอาจจะมีอะไรดีขึ้น กลับมารอบนี้ก็ยิ่งปวดใจมากกว่าเดิม เคยเจรจาแต่คำขอคืนดีกลับขอแบบพูดไปที นึกไม่ถึง ว่าคนที่ไว้ใจที่สุดจะกลายมาเป็นงูเห่า

นี่คือคำสั่งและคำสาปสุดท้ายของชายที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและความแค้นเต็มอก ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้ว ศักดิ์ศรีของผมไม่มีทางที่จะยอมกลับไปให้เหยียบย่ำ "ยอมเป็นหางเสือ ดีกว่าเป็นหัวหมา เจ็บอย่างเสือ ตายอย่างเสือ"

ทั้งนี้ ผมจะไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือใดๆ ทุกอย่างจะปล่อยไปตามกรรมลิขิต ถ้าถึงเวลาสำหรับผมแล้ว อีกห้าวันหลังจากนี้ คือวันลาจาก หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการพิสูจน์จากทางการ ห้ามมิให้จัดงานศพ หรือเพื่อระลึกถึงใดๆ ให้เผาทำลายศพของข้าพเจ้า แล้วนำส่วนที่เหลือไปทิ้งน้ำ ไม่อนุญาตให้เก็บไว้ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม. 

"I came with the wind I gone with the wind"

ถึงภรรยา ..

"ไม่ต้องมาร้องไห้ ไม่ต้องมากราบมาไหว้ พี่ไม่อโหสิให้ เราจะทรมานใจอย่างที่พี่เป็นอยู่ในทุกๆ วัน เราจะมีหน้าที่ทำในสิ่งที่พี่สั่งไว้ จากนั้นเราถึงจะเป็นอิสระในลมหายใจสุดท้ายของเรา"

เอาใบมรณบัตรไปโอนทุกอย่างให้เป็นชื่อเรา ที่เราอยากได้ อย่างที่เราเคยบอกให้พี่ทำ นี่คือสิ่งสุดท้ายที่พี่เคยบอกว่าจะทำให้ ถ้าเรื่องวิญญาณ และชีวิตหลังความตายมีจริง "พี่จะอยู่ทุกๆ มุมมืด คอยดูเรา พี่ไม่ต้องการไปเกิดใหม่ พอแล้ว.."

ด้วยความแค้นเต็มอก..

(ภาพประกอบจากเฟซบุ๊ก)