สสส.เปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้สถาบันวิชาการคู่ความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น นำร่อง 10 มรภ. ทำวิจัยแก้ปัญหาท้องถิ่น เกิดงานวิจัยกว่า 439 เรื่อง 5 ประเด็น 210 คู่ความร่วมมือ โชว์ความสำเร็จ อบต.เมืองจัง จ.น่าน มีแผนที่สารสนเทศน้ำ ชาวบ้านเข้าถึงข้อมูลผ่านมือถือ พร้อมขยายโมเดลราชภัฏคู่ชุมชนไปยังราชภัฏ 38 แห่งทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 10 ก.ย.61 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน จัดเวทีนำเสนอวิจัยเชิงพื้นที่ โดยสถาบันวิชาการคู่ความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่น เพื่อสร้างองค์ความรู้ และเปลี่ยนกระบวนการคิด วิธีการทำงาน ควบคู่กับการเสนอผลงานทางวิชาการ อาทิ การพัฒนาอาหารปลอดภัยในท้องถิ่น โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ การพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. กล่าวว่า จากการทำงานของ สสส.ร่วมกับเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่พบว่า การแก้ไขปัญหาและหาทางออกของชุมชนท้องถิ่น ต้องอาศัยองค์ความรู้และมุมมองจากคนภายนอกชุมชน เข้าไปกระตุ้นหรือสะกิดเพื่อการเปิดโลกทัศน์และชีวทัศน์ของผู้นำชุมชนท้องถิ่น ในฐานะผู้รับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ หรือในฐานะสมาชิกของหมู่บ้าน ตำบล ดังนั้นการนำความรู้จากการปฏิบัติกับความรู้จากหลักวิชาการมาวิเคราะห์ร่วมกัน โดยใช้ความรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมเป็นตัวเชื่อมโยงในการกำหนดยุทธศาสตร์หรือกลวิธี ร่วมกันสร้างชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง จะเป็น "หลักการใหม่ในการสังเคราะห์ความรู้" ให้เป็น "ความรู้ใหม่" ที่มีหลักวิชารองรับ ปฏิบัติได้จริง และสืบสานภูมิปัญญาวัฒนธรรมที่เป็นสายใยให้ชุมชนท้องถิ่นอยู่ร่วมกันเป็น สถาบันวิชาการเองก็ต้องพิสูจน์ (วิจัยเชิงปฏิบัติการ) ว่าองค์ความรู้จากหลักวิชาการหรืองานวิจัย จะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างไร อันจะส่งผลต่อความสุขหรือความอยู่ดีมีสุขของสมาชิกในกลุ่ม ชุมชน หมู่บ้าน และตำบล

...

"ปัญหาใกล้ตัวใกล้ชุมชน อย่างทำนาแล้วขาดทุน น้ำท่วมซ้ำซาก ภาควิชาการจากสถาบันการศึกษามาเก็บข้อมูลทำวิจัยร่วมกับชาวบ้านแล้วแก้ปัญหาร่วมกัน ขณะนี้มีโมเดลของราชภัฏอุตรดิตถ์ ที่มีความแนบแน่นกับองค์กรปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ ชาวบ้านมีปัญหาเดินไปที่ราชภัฏฯ ซึ่งสถาบันวิชาการคู่ความร่วมมือท้องถิ่นมาจากชุดความคิด 3 ชุด ชุดที่ 1 ปัญหาในท้องถิ่นยังต้องการความรู้และมุมมองจากคนในชุมชน คนภายนอกไม่สามารถแก้ปัญหาเพียงลำพังได้ ชุดองค์ความรู้ที่ 2 สถาบันวิชาการมีความจำเป็นต้องพิสูจน์องค์ความรู้ทำให้คนในชุมชนเข้มแข็ง นำหลักวิชาไปช่วยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ชุดความคิดที่ 3 เวลาใช้องค์ความรู้ปฏิบัติต้องผสานกับภูมิปัญญา และหลักวิชาเหล่านี้จะเป็นเส้นทางการพัฒนาท้องถิ่นให้ยั่งยืน" น.ส.ดวงพรกล่าว

นายสมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ กล่าวว่า การสนับสนุนให้เกิดสถาบันวิชาการคู่ความร่วมมือชุมชนท้องถิ่น สสส. ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงการทำงานของ 2 ส่วน คือสถาบันการศึกษาและชุมชนท้องถิ่นที่เดิมต่างคนต่างทำต่างเป้าหมาย มาร่วมคิดร่วมทำโดยมีเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันเกิดคู่ความร่วมมือ 210 พื้นที่ เกิดจำนวนนักวิจัยจากสถาบันวิชาการ และนักวิจัยชุมชน (ในพื้นที่) 988 คน และมีผลงานวิจัย 439 เรื่อง แบ่งเป็นวิจัยแบบมีส่วนร่วม และวิจัยเชิงทดลอง ใน 5 ประเด็น คือ 1. เศรษฐกิจชุมชน 2. การจัดการขยะ 4. เด็กและเยาวชน 4. อาหารปลอดภัย 5. การดูแลสุขภาพ ซึ่งผลวิจัยเหล่านี้จะถูกนำไปสู่การต่อยอดขยายผลทำงานร่วมกันต่อไป

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรืองเดช วงศ์หล้า ประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.) และอธิบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ กล่าวว่า สถานศึกษาในท้องถิ่นต้องปฏิรูปการทำงานวิจัย เพราะเดิมทีงานวิจัยเป็นความต้องการของนักวิชาการหรือได้ทุนมาจากส่วนกลาง แต่การทำงานวิจัยเชิงพื้นที่ สสส.เข้ามาสนับสนุนกระบวนการโดยเน้นตามรอยพระราชดำริในหลวง รัชกาลที่ 9 โดยยึดหลักเข้าไประเบิดปัญหาจากภายใน แล้วใช้การแก้ปัญหาแบบมีส่วนร่วม เหมือนกับคำภาษาอังกฤษที่ว่า "Engate" คือการหมั้นหมายกันต้องอยู่ด้วยกัน โดยไปสร้างนักวิจัยในท้องถิ่น ให้ชาวบ้านช่วยกันคิดกันทำ สถานศึกษาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงโดยอาศัยองค์ความรู้ เพราะชุมชนท้องถิ่นต้องการองค์ความรู้ แต่ลึกๆ คือการช่วยกัน ท้ายที่สุดเมื่อชาวบ้านคิดเองทำเองจะกลายเป็นนโยบายของท้องถิ่นโดยตรง

"สสส.ได้ให้แนวทางจากการปฏิรูปงานในเชิงวิชาการมาบริการประชาชน เป็นโมเดลที่จะขยายไปใช้กับราชภัฏทั้ง 38 แห่ง ซึ่งปัจจุบันเกิดการนำร่องไปแล้ว 10 แห่ง ทำให้ได้กระบวนการใหม่ที่ทำงานตรงกับปัญหาและความต้องการของชุมชน" ผศ.ดร.เรืองเดช กล่าว

นายสมคิด ทุ่นใจ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ กล่าวว่า ได้นำความรู้ทางด้านสารสนเทศ มาบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ต.เมืองจัง อ.ภูเพียง จ.น่าน จากการทำงานเก็บข้อมูลร่วมกับชาวบ้านทำให้ทราบว่าพื้นที่มีแหล่งน้ำอยู่ในจุดไหน และบอกระยะทางเดินทางไปถึงแหล่งน้ำ นำข้อมูลไปให้ อบต.เพื่อวางแผนจัดสรรงบประมาณการวางท่อ และวางแผนการเพาะปลูก ซึ่งเดิมทีกลุ่มชาวบ้านที่ทำนาจะได้สิทธิ์ในการใช้น้ำในสัดส่วนที่สูงกว่า แต่กลุ่มที่ปลูกไม้ผล ปศุสัตว์ ได้รับการใช้น้ำรองลงมา เมื่อมีฐานข้อมูลสามารถจัดสรรได้อย่างทั่วถึง ซึ่งชาวบ้านสามารถเข้าไปดูแหล่งน้ำได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งในระยะต่อไปต้องให้ อบต.ขึ้นทะเบียนเกษตกร ระบุประเภทของการเพาะปลูกเพื่อบริหารจัดสรรน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งปี ซึ่งโมเดลนี้สามารถต่อยอดไปยังอำเภอใกล้เคียง จนถึงระดับจังหวัดได้ ทั้งนี้มหาวิทยาลัยนำร่องที่เข้าร่วมโครงการวิจัยและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ 10 แห่ง ประกอบด้วย ม.ราชภัฏอุตรดิตถ์ ม.ราชภัฏสุราษฎร์ธานี ม.ราชภัฏพิบูลสงคราม ม.ราชภัฏนครปฐม ม.ราชภัฏบุรีรัมย์ ม.ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ม.ราชภัฏเพชรบุรี ม.ราชภัฏมหาสารคาม ม.ราชภัฏเลย ม.ราชภัฏลำปาง