สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ที่รักและคิดถึง คุณครูลิลลี่ไม่ได้เขียนถึงเรื่องราวของภาษาไทยในละครไทยมาพักใหญ่ แต่มาถึงครั้งนี้ไม่เขียนถึงคงไม่ได้เสียแล้ว เพราะมีละครเรื่องนี้กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนที่ต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ครั้งนี้ออกสู่สายตาคุณผู้อ่าน ละครจะอวสานไปหรือยัง) ละครเรื่องนี้ดังมากค่ะ ใครๆ ก็พูดถึง เป็นละครที่ดังแบบชนิดที่เรียกว่าเข้าโซเชียลเป็นต้องเห็นคลิป เข้าเฟซบุ๊กเป็นต้องเห็นคนตั้งสเตตัสข้อความเอาไว้เกี่ยวกับละครเรื่องนี้ เป็นบทพูดของตัวละครบ้าง เป็นเรื่องราวในละครบ้าง บางคนก็สมมติว่าตัวเองเป็นนางเอก บ้างก็เพ้อถึงพระรองของเรื่อง ใช่แล้วค่ะ คุณครูลิลลี่กำลังหมายถึงละครเรื่อง เมีย 2018 ที่ออกอากาศทางช่องวันนั่นเอง เริ่มความรู้เกี่ยวกับภาษาไทยเรื่องแรกกันเลย ละครเรื่องเมีย 2018 นี้มีคนถามว่าคำว่า เมีย ที่ใช้เป็นชื่อเรื่องนั้น ถือเป็นคำไม่สุภาพหรือเปล่า ทำไมไม่ใช้คำว่า ภรรยา แทน อันนี้ต้องบอกเลยนะคะว่าคำว่า เมีย เป็นคำปกติใช้ได้ทั่วไป คำว่า เมีย ถ้าเปิดตามพจนานุกรม เป็นคำนามแปลว่า ภรรยา หรือ หญิงที่เป็นคู่ครองของชาย ใช้คู่กับคำว่า ผัว นอกจากนั้นคำว่า เมีย ยังสามารถใช้เป็นคำวิเศษณ์บ่งบอกเพศได้อีกด้วย หมายความว่า ตัวเมีย เช่น ไก่เมีย ม้าเมีย ค่ะ

ในพจนานุกรมยังมีคำเพิ่มเติมของเมียมาอีก 2 คำ คือ เมียน้อย ที่เป็นภาษาปาก แปลว่า หญิงที่ชายเลี้ยงดูอย่างภรรยาแต่ไม่มีศักดิ์ศรีเท่าเมียหลวง หรือไม่ได้จดทะเบียน ส่วนคำว่า เมียหลวง แปลว่า เมียที่ยกย่องว่าเป็นใหญ่ ค่ะ ในพจนานุกรมจะมีแค่ เมียน้อย กับ เมียหลวง เท่านั้นนะคะ ส่วนเมียอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เมียเก็บ เมียเช่า เมียแต่ง หรืออีกหลายๆ เมีย ไม่ได้มีระบุไว้ แต่ก็อย่างที่บอกค่ะ ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีการเคลื่อนไหว สามารถปรุงแต่งและใช้เป็นภาษาปาก หรือเป็นศัพท์แสลงกันได้หลากหลายค่ะ พูดถึงคำว่า “เมีย” ในอดีต หรือในสมัยก่อนเคยมีการแยกประเภทของเมียเป็น 5 ประเภท ซึ่งที่คุณครูลิลลี่ได้ไปค้นข้อมูลมาก็มีระบุไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายตราสามดวงเลยทีเดียวนะคะ

...


โดยเมียทั้ง 5 ประเภทก็มีดังนี้ค่ะ

1. เมียอันทรงพระกรุณาพระราชทานให้ หรือ เรียกว่า เมียพระราชทาน ถือว่าเป็นเมียที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานเป็นบำเหน็จ เป็นรางวัลให้แก่ชายผู้นั้นโดยไม่ต้องขอ อย่างเช่น เมื่อไปรบชนะหรือไปมีชัยในศึกสงครามก็ได้รับพระราชทานเมีย ถือว่ามีศักดิ์เป็นเมียพระราชทาน

2. เมียอันทูลขอพระราชทาน เมียลำดับนี้ก็ยังถือว่าเป็นเมียพระราชทานเหมือนกัน แต่ต่างตรงที่ฝ่ายชายจะต้องทูลขอกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสียก่อน แล้วจึงโปรดพระราชทานให้ตามคำขอนั้นค่ะ มาถึงลำดับที่

3. เมียกลางเมือง หรือ เมียหลวง คือ หญิงที่พ่อแม่ไปสู่ขอมาให้ ทำพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ถือว่ามีเกียรติสูงสุดในบ้าน ต่อด้วยประเภทที่

4. เมียกลางนอก หรือ เมียน้อย ก็หมายถึงหญิงที่ผู้ชายขอมาเลี้ยงดูเป็นเมียคนหนึ่งในบ้าน มีศักดิ์ลดหลั่นลงมาจากเมียหลวงอีกที สมัยก่อนจะมีกี่คนก็ได้ และสุดท้ายเรียกว่า

5. เมียกลางทาสี เมียประเภทนี้ถ้าตามละครโบราณก็คือ เมียทาส นั่นเองค่ะ มีทั้งจากการไถ่ตัวใช้หนี้ หรือ ซื้อมาเป็นคนรับใช้ค่ะ

คุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์คะ ไหนๆ เราก็พูดกันถึงเรื่องเมียแล้ว ก็ขอแถมความรู้ให้อีกนิดเกี่ยวกับคำสองคำที่มองว่าเป็นคำว่า เมีย แบบสุภาพ คือคำว่า ภรรยา และ ภริยา ซึ่ง 2 คำนี้คนก็มักจะสงสัยว่าใช้ต่างกันอย่างไร มีความสูงต่ำ เหลื่อมล้ำในการใช้หรือไม่อย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้คุณครูลิลลี่เคยพูดถึงไปหนึ่งครั้ง แต่นานมากแล้ว เรามาย้ำกันอีกครั้งก็แล้วกันนะคะ คำว่า ภรรยา กับ ภริยา เป็นคำนามเหมือนกัน และมีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานเหมือนกันด้วย  คือ หมายความว่า เมีย หรือ หญิงที่เป็นคู่ครองของชาย ใช้คู่กับคำว่า สามี ส่วนความแตกต่างของคำว่า ภรรยา กับ ภริยา นั้น มีความแตกต่างเพียงแค่ที่มาของคำเท่านั้นเองค่ะ คือ คำว่า ภรรยา เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤตว่า ภารฺยา ส่วนคำว่า ภริยา เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีว่า ภริยา ค่ะ ดังนั้นการที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ภรรยา หมายถึง หญิงที่เป็นคู่ครองของชายซึ่งเป็นบุคคลทั่วไป และคำว่า ภริยา หมายถึง หญิงที่เป็นคู่ครองของชายซึ่งเป็นบุคคลระดับสูง หรือบุคคลสำคัญนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่ผิดนะคะ เพราะไม่ว่าจะ ภรรยา หรือ ภริยา ก็ล้วนแล้วแต่หมายถึง เมียหรือหญิงที่เป็นคู่ครองของชายทั้งสิ้น ไม่มีการแยกแยะว่าคำนี้เป็นเมียของบุคคลทั่วไป หรือคำนี้เป็นเมียของบุคคลระดับสูงหรือบุคคลสำคัญแต่อย่างใดค่ะ และทั้งหมดก็คือเรื่องราวของ เมีย เอ๊ย! เรื่องราวของไทยรัฐออนไลน์ในครั้งนี้ พบกันใหม่ครั้งหน้า สวัสดีค่ะ

instagram : kru_lilly , facebook : ครูลิลลี่