ขจัดทุกข์แผ่นดิน

ยากจนและเหลื่อมล้ำคือปัญหาของสังคมไทย

แต่การขจัดความยากจนและเหลื่อมล้ำให้หมดสิ้นไปดูจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะปัญหาความยากจนและเหลื่อมล้ำมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ที่เกี่ยวพันกับมิติอื่นที่ไม่ใช่รายได้ของประชาชนเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีมิติด้าน “โอกาส” ทางสังคมและเศรษฐกิจด้วย

โอกาสที่ว่าจึงไม่ใช่แค่เพียงเรื่องเงิน แต่คือการ “เข้าถึง” องค์ความรู้ใหม่ๆที่จะนำพาชาวบ้านและชุมชนก้าวพ้นจากความยากจนและเหลื่อมล้ำ

“คนจนเพราะขาดโอกาส ถ้าสามารถทำให้ชาวบ้านและชุมชนเข้าถึงองค์ความรู้ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.)ได้ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำจะหมดไป เพราะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม จะทำให้ชาวบ้านและชุมชนคิดเป็นและต่อยอดเป็นอาชีพได้ จริงอยู่อาจจะไม่เห็นผลทันทีหรือรวดเร็วเหมือนใช้เงินหว่านโปรยลงไปแต่ยั่งยืนกว่า” ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ระบุ

...

และนั่นคือที่มาของ วว.ในการใช้ “วิทย์แก้จน” ด้วยการสร้างอาชีพให้คนรุ่นใหม่และชุมชน นำร่องใน 10 จังหวัดยากจนที่สุดของประเทศไทย คือ แม่ฮ่องสอน กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ น่าน นครพนม นราธิวาส ปัตตานี ชัยนาท ตาก และอำนาจเจริญ ทำใน 2 เรื่องหลัก คือ 1.การพัฒนาภูมิปัญญาทางการเกษตรให้เกิดเป็นนวัตกรรม โดยใช้องค์ความรู้ด้าน วทน.สร้างความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม และ 2.พัฒนาผู้ประกอบการโอทอป ให้นำ วทน.ไปยกระดับสินค้า สร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน

ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ
ดร.ลักษมี ปลั่งแสงมาศ

“วว.ทำโครงการ “วิทย์แก้จนโดยคน อบต.” เชื่อมโยงเครือข่าย อบต.ขับเคลื่อนนโยบายพร้อมใช้ผลงานวิจัยไปช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเศรษฐกิจฐานราก อาทิ การเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ

เทคโนโลยีด้านการเกษตร เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรเพื่อเป็นอาหารสุขภาพ ระบบการจัดการขยะชุมชน และเทคโนโลยีพร้อมใช้ เช่น เตาชีวมวลเพื่อชุมชน ที่ล่าสุดนำไปถ่ายทอดให้ชาว จ.อำนาจเจริญ เพื่อลดการใช้ก๊าซหุงต้ม ช่วยลดต้นทุนเพราะสามารถใช้เศษไม้ชีวมวลที่เหลือจากการเกษตรมาเผาให้ความร้อน และด้วยระบบการหมุนเวียนอากาศภายในเตาทำให้ได้ความร้อนที่สูง สามารถย่นระยะเวลาที่ใช้ในการประกอบอาหาร ถือเป็นนวัตกรรมอย่างง่ายๆที่ช่วยให้ชุมชนพึ่งพาตัวเองได้ และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวบ้านได้อย่างแท้จริง ซึ่ง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วท. ได้สั่งการให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีเตาชีวมวลสู่หน่วยงานอาชีวศึกษาและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อต่อยอดต่อไปในวงกว้าง” ผู้ว่าการ วว.กล่าว

นอกจากนี้ยังมีการสร้างอาชีพเพาะเลี้ยงเห็ดเศรษฐกิจและเห็ดมูลค่าสูงที่สามารถเพาะร่วมกับรากของต้นไม้ได้ เช่น เห็ดเผาะร่วมกับต้นหว้า เห็ดตับเต่าร่วมกับต้นยางนา เพื่อสร้างแหล่งโปรตีน พร้อมกับการฟื้นฟูพื้นที่ป่า และได้มีการวางระบบการเพาะเลี้ยงเห็ดเศรษฐกิจครบวงจรร่วมกับชุมชนในพื้นที่ โดยเริ่มดำเนินการแล้วที่ จ.น่าน ตาก ชัยนาท และอำนาจเจริญและจะขยายไป จ.นราธิวาส กาฬสินธุ์ ปัตตานี บุรีรัมย์ นครพนม แม่ฮ่องสอน ในเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งได้คัดเลือกกลุ่มเกษตรกรต้นแบบไว้รวม 18 กลุ่มที่พร้อมเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อขยายต่อยอดด้านการเพาะเลี้ยงเห็ดให้ได้ 300 กลุ่มต่อปี

“วว.ยังมีการสร้างอาชีพด้านแมลงเศรษฐกิจ เริ่มต้นจากจิ้งหรีด หนอนสาคู และหนอนนก ซึ่งคัดเลือกกลุ่มที่มีความพร้อมในการต่อยอดในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ นครพนม อำนาจเจริญ และบุรีรัมย์ สำหรับการเลี้ยงจิ้งหรีด เพื่อเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาอีสาน 4.0 การสร้างแหล่งโปรตีนทางเลือกใหม่ให้กับคนในพื้นที่ภาคอีสาน และการเลี้ยงหนอนสาคูและหนอนนกใน จ.นราธิวาส และปัตตานี ซึ่งเป็นแมลงเศรษฐกิจใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ รวม 18 กลุ่มต้นแบบกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค ซึ่งพร้อมที่จะเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อขยายต่อยอดด้านการเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจให้ได้มากถึง 300 กลุ่มต่อปี” ดร.ลักษมี ระบุและย้ำด้วยว่า ทุกโครงการสุดท้ายแล้วชาวบ้านและชุมชนจะต้องพึ่งตัวเองได้

ที่สำคัญ วว.ยังทำโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งนวัตกรรมเกษตร” ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ เพื่อสร้างนวัตกรรมทางการเกษตรจากภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยรวบรวมภูมิปัญญาทางด้านเกษตรกรรมจาก 76 จังหวัด ได้ 878 ภูมิปัญญา เพื่อนำมาต่อยอดและพัฒนาแบบมีส่วนร่วมกับนักวิจัยภายใต้กระทรวงวิทย์

เช่น นวัตกรรมผลิตปุ๋ยอินทรีย์เคมีสั่งตัด การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วย การตรวจวัดความสุกแก่ของทุเรียน เป็นต้น ปัจจุบันมีการคัดเลือกองค์ความรู้จากภูมิปัญญาเพื่อต่อยอดเป็นนวัตกรรมชุมชนแล้วกว่า 200 ชิ้นงาน

“ทีมข่าววิทยาศาสตร์” มองว่า การแก้ความยากจนและเหลื่อมล้ำ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจความจนและเหลื่อมล้ำ และตระหนักด้วยว่า ทุกข์ของคนจนคือทุกข์ของแผ่นดิน

สิ่งที่เราอยากฝากไว้ คือการขจัดความยากจนและเหลื่อมล้ำให้หมดสิ้นไป ต้องให้ชาวบ้านและชุมชนยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตนเอง

ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ทรงชี้แนะว่า “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า”

ถึงวันนั้นความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ก็จะหมดไปจากสังคมไทย.

ทีมข่าววิทยาศาสตร์