ชวนให้ขบคิด..ควรจะบอกดีไหม หากมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้อีกไม่นาน ญาติวอนหมออย่าบอกคนไข้สาวอายุเพียง 38 ปี ป่วยเป็นมะเร็งที่เต้านม ก่อนลามไปที่สมอง

แฟนเพจเฟซบุ๊ก เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล โพสต์เล่าข้อความบทสนทนาระหว่างคนไข้และคุณหมอ ดังนี้ มีคนไข้อายุแค่ 38 ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม เคยรักษาจนโรคสงบไปราวๆ 2 ปี กำเริบกลับมา คราวนี้ให้ยาเคมีบำบัดไป 6-7 ครั้ง หมอประเมินว่าไม่ตอบสนองแล้ว ต้องเปลี่ยนยา แล้วเธอก็มาเจอผม ด้วยอาการเวียนศีรษะ อย่าว่าแต่เดินเลย แค่ลุกนั่ง ก็ต้องหลับตาประคองตัว

ทั้งนี้ หมอได้รับตัวไว้ในโรงพยาบาล แล้วก็สั่งทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทันทีหลังจากได้ผล จึงให้เจ้าหน้าที่ที่ตึกนอน พาญาติของเธอมาฟังผลที่แผนกผู้ป่วยนอก เพราะผมยังติดภารกิจที่ต้องตรวจคนไข้นอกไปเรื่อยๆ พาเฉพาะญาติมาก่อน ไว้เสร็จงานตรงนี้ ค่อยไปคุยกับเธออีกที

"มะเร็งกระจายไปที่สมองนะครับ ทำให้คนไข้มีอาการเวียนศีรษะควบคุมการทรงตัวไม่ได้" สามีรับทราบผลด้วยสีหน้าตกใจ ทั้งๆ ที่เขาน่าจะรู้อาการของโรคมาตลอด หลังจากอธิบายแนวทางการรักษาให้ยาลดบวม และส่งต่อให้หมอด้านมะเร็งประเมินอีกทีว่าจะฉายแสงไหวไหม ก็บอกพยากรณ์โรค (prognosis) ไปว่า

"ตอนนี้ต้องบอกว่าโรคมันก็เป็นระยะท้ายแล้วนะครับ หมายความว่า รักษาเพื่อประคองอาการได้ตามที่หมอบอกไป แต่ยังไงก็ไม่หายขาด" สามีน้ำตาหยด อันนี้ต้องบอกว่า แปลกใจพอสมควร เพราะว่ากรณีของเธอเป็นซ้ำแล้วและให้ยาสูตรใหม่แล้วไม่ได้ผล ทั้งสองอย่างนี้โดยที่ไม่ต้องมีการแพร่กระจายไปสมองก็เป็นสัญญาณบอกได้แล้วว่าโอกาสที่จะหายน้อยมากแล้ว

อย่างไรก็ตาม หมอด้านมะเร็งที่ให้การรักษาอยู่น่าจะเคยบอก เคยคุยไว้บ้าง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาดูเหมือนตรงข้ามราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน

...

"หมออย่าบอกคนไข้นะครับ ผมว่าเธอรับไม่ได้หรอกแค่นี้เธอก็เครียดมากแล้ว" สามีบอกเมื่อผมแจ้งว่าต้องบอกคนไข้

"นี่เป็นสิทธิ์ของคนไข้ที่ต้องรู้นะครับ เวลาจากนี้คือ 'ช่วงสุดท้าย' ในชีวิตเค้าที่เขาจะได้วางแผนชีวิตตัวเองว่าอยากทำอะไรในช่วงเวลาที่เหลือ หมอบอกไม่ได้ว่า เร็ว หรือ ช้าแค่ไหนเพราะต้องตามติดไปเรื่อยๆ ให้ยาลดบวมแล้วจะได้ผลไหม ไปฉายแสงได้หรือเปล่า ฉายแสงได้แล้วจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอะไรไหม อาจจะประคองได้เป็นปีๆ หรืออาจจะแค่สามสี่เดือนก็ได้"

สามียืนยันท่าเดียวว่าไม่ให้บอก พี่สาวของคนไข้ที่มานั่งฟังด้วยก็ดูจะคิดเห็นเหมือนกับน้องเขย "ไม่หรอกค่ะ ตอนนี้เขาอยากทำอะไรก็ได้ทำ" พี่สาวบอก

"มันไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าเรารู้ว่านี่คือช่วงสุดท้ายของชีวิต ผมเคยมีคนไข้คนหนึ่ง ไม่มีหมอคนไหนบอกว่ารักษาไม่ได้แล้ว พอผมบอกเขา เขาบอกว่าขอบคุณมาก เขาจะได้กินกาแฟอย่างที่อยากกินเสียที เพราะตลอดเวลาที่รักษา เขายอมอดมาตลอด คือ เราไม่มีวันรู้ หรือคิดแทนใครได้ ว่าใครอยากทำอะไร หวังอะไรในช่วงสุดท้ายของชีวิตนะครับมันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะจัดการชีวิตของเขาเอง เขาอาจจะอยากจะฝากฝังอะไรกับใครหรืออะไรก็ได้ เราไม่มีสิทธิ์ไปปิดบังไปแย่งช่วงเวลานี้ของเขานะครับ ลองคิดว่าเป็นตัวเราเองสิ"

สุดท้าย สามีและญาติก็ยืนยันไม่ให้บอกความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวตัวเองคือ ขอเถิด ถ้าตัวเองต้องป่วยต้องซวยด้วยโรคร้ายก็พอแล้ว ขออย่าให้คนใกล้ตัวเราทำกับผมอย่างนี้เลย