“คุณครูลิลลี่ขา ทำไมผู้ชายพูดแทนตัวเองว่า ดิฉัน ได้ด้วยเหรอคะ” นี่คือ คำถามจากเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่กำลังน่ารักน่าหยิกและเต็มไปด้วยความสงสัยในใบหน้า เดินหน้าตางงงวยเข้ามาถามเอาคำตอบจากคุณครูลิลลี่ในท้ายชั่วโมงการสอน (สงสัยจะดูละครไทยมากไปแน่ ๆ แล้วคงเห็นพระเอกสุดหล่อแทนตัวเองว่าดิฉันก็เลยทำเอาหนูน้อยงงงันขึ้นมาในทันที) และนี่คือที่มาของ ภาษาไทยน่ารู้กับครูลิลลี่ในวันนี้ สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์ที่รักและคิดถึง ครั้งที่แล้วคุณครูลิลลี่เขียนเรื่องราวของขันที ตำแหน่งสำคัญอย่างหนึ่งอย่างในอดีตที่ชวนให้สงสัยว่าในราชสำนักโบราณของไทยมีตำแหน่งนี้จริง ๆ หรือ เพราะตอนนี้กระแสของละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ก็เรียกได้ว่าเป็นที่พูดถึงอยู่พอสมควร มาถึงไทยรัฐออนไลน์ครั้งนี้ ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องของละครดังเรื่องเดียวกัน เพราะมีเด็กน้อยช่างสงสัยดูละครแล้วย้อนกลับมาตั้งเป็นคำถามว่า ผู้ชาย แทนตัวเองว่า ดิฉัน ได้ด้วยหรือ งานนี้คุณครูลิลลี่ก็ต้องขอหาคำตอบมาคลี่คลายปมในใจของหนูน้อยคนนั้นเสียหน่อยนะคะ

...
คำว่า ดิฉัน ถ้าเปิดดูความหมายจากพจนานุกรม จะพบว่าเป็น คำสรรพนาม เป็นคำใช้แทนตัวผู้พูดเพศหญิง เป็นคำสุภาพ จัดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 บ้างครั้งก็ใช้ว่า ดีฉัน เป็นสระอี ก็มีนะคะ นอกจากนั้น หากเปิดหาความหมายต่อไปที่คำว่า ดีฉัน (แบบสระอี) ก็จะพบความหมายว่า เป็นสรรพนามแทนตัวผู้พูด เพศหญิง เป็นคำสุภาพ โบราณผู้ชายใช้ว่า ดีฉัน ผู้หญิงใช้ว่า อีฉัน เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 ค่ะ ยังมีอีกหนึ่งคำที่ใกล้เคียงกัน คือ คำว่า ดีฉาน คำนี้เป็น คำโบราณ ค่ะ เป็นสรรพนามของ ดิฉัน ดีฉัน เป็นคำที่เจ้านายผู้ชายมักใช้กับพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 เช่นเดียวกันค่ะ
เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าที่คุณครูลิลลี่ไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมมา ก็พบว่า คำว่า ดิฉัน หรือ ดีฉัน นั้น มีปรากฏอยู่แล้วในวรรณคดีสมัยอยุธยาค่ะ ส่วนคำว่า ฉัน หรือ คำว่า ท่าน มีการกำหนดบังคับให้พูดในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ข้อมูลยังบอกอีกว่า คำว่า ดิฉัน หรือ ดีฉัน แรกเริ่มทีเดียวเป็นสรรพนามของคนทั่วไปใช้พูดกับพระสงฆ์ ผู้เป็นที่นับถืออย่างสูง โดยมาจากคำว่า ดิรัจฉาน ที่แปลว่า สัตว์ กล่าวคือ เราจะยกย่องพระสงฆ์ว่าเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง (แม้มนุษย์จะไม่ใช่ ดิรัจฉาน หรือ เดรัจฉาน หรือ เดียรัจฉาน แต่ก็นับว่าเป็นสัตว์เหมือนกัน เพียงเป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น ดังนั้นเวลาพูดกับพระ ผู้พูดจึงถ่อมตัวว่าหากเปรียบกับพระสงฆ์ ผู้พูดก็ยังเป็นเพียงดิรัจฉานเท่านั้น จึงเรียกตัวเองว่า ดิรัจฉาน ซึ่งต่อมาภายหลังใช้ไปใช้มาก็กร่อนไป เหลือแต่พยางค์ต้นกับท้าย กลายเป็น ดิฉัน นั่นเองค่ะ


เดิมใช้คำว่า ดิฉัน นี้ใช้กันได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง แต่ต่อมาใช้กันแต่ในหมู่พวกผู้ชาย ก็สรุปได้ว่า เริ่มมาจากการใช้กับพระสงฆ์ก่อน ต่อมาเลยกลายเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 โดยใช้สำหรับผู้มีอาวุโสน้อยกว่าพูดกับผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า แม้บ่าวเวลาพูดกับนาย บางครั้งก็ใช้คำว่า ดิฉัน ค่ะ ส่วนผู้หญิงนั้นในวรรณคดี และจดหมายเหตุ เห็นใช้ว่า ‘ฉัน’ บ้าง ‘อีฉัน’ บ้าง ซึ่งตามหลักฐานที่สืบค้นมาก็ไม่ทราบว่าเริ่มใช้กันมาตั้งแต่เมื่อใด จะมีก็แต่คำบอกเล่าว่า ‘อีฉัน หากสันนิษฐานก็เห็นจะมาจากคำว่า อี + ฉัน เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงทั่วไปมักเรียกกันว่า อีนั่น อีนี่ เวลาพูดกับนาย จะใช้ว่า ฉัน ก็ดูไม่เป็นการนับถือยกย่อง จึงเลยเรียกตัวเองว่า อี เสียก่อนแล้วจึงตามด้วยคำว่า ฉัน ก็เลยเป็น อิฉัน อย่างที่ว่ากันนี่แหละค่ะ


และนี่คือทั้งหมดทั้งมวลที่คุณครูลิลลี่นำมาเป็นคำตอบกันในไทยรัฐออนไลน์ครั้งนี้ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้านะคะ สวัสดีค่ะ