สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับสัปดาห์นี้ มีแฟนเพจได้เข้ามาปรึกษาปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับบุตรบุญธรรม ข้อเท็จจริงเบื้องต้น คือ มีชายหญิงคู่หนึ่ง เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยทั้งคู่มีอายุแค่ 22 ปี ได้คบหากันเป็นแฟน ต่อมาก็อยู่กินกันฉันสามีภรรยา โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส สุดท้ายฝ่ายหญิงก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารัก สุขภาพร่างกายของเด็กสมบูรณ์แข็งแรงดี แต่ด้วยวัยกำลังศึกษา ทั้งสองคนจึงไม่มีรายได้ที่จะนำมาใช้เลี้ยงดูบุตรของตัวเอง พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจึงเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กคนดังกล่าวทั้งหมด พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจึงมีความประสงค์จะรับเด็กคนดังกล่าวเป็นบุตรบุญธรรม
ประเด็นปัญหาข้อสงสัย คือ พ่อแม่ของฝ่ายหญิงจะรับหลานเป็นบุตรบุญธรรมได้หรือไม่ พิจารณาจากหลักเกณฑ์ตามกฎหมายได้ ดังนี้
1. ผู้รับบุตรบุญธรรมจะต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป และต้องมีอายุมากกว่าผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
2. ผู้เป็นบุตรบุญธรรมที่มีอายุมากกว่า 15 ปี สามารถให้ความยินยอมด้วยตนเอง แต่หากอายุน้อยกว่า 15 ปี จะต้องได้รับความยินยอมจาก บิดา และมารดา หรือผู้ปกครอง
3. ผู้จะรับบุตรบุญธรรม หรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสอยู่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน
4. ผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลใดอยู่ จะเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกไม่ได้ ยกเว้นเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมเอง
เมื่อพิจารณาจากหลักกฎหมายข้างต้น การรับบุตรบุญธรรม คือ การที่บิดามารดาบุญธรรมมีความประสงค์จะรับบุตรบุญธรรม ซึ่งบุตรบุญธรรมมิใช่สายโลหิตของตัวเอง ดังนั้น เมื่อปู่ย่าตายายจะรับหลานของตัวเอง ซึ่งเป็นสายโลหิตของตัวเองโดยแท้ จึงไม่มีความเสียหายอย่างใดๆ ประกอบกับ ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้ ปู่ย่าตายายจึงสามารถรับหลานของตัวเองเป็นบุตรบุญธรรมได้
...
ในการนี้แม่ของเด็กสามารถให้ความยินยอมได้ฝ่ายเดียว เนื่องจากกรณีนี้ พ่อและแม่ของเด็กไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จึงถือว่าเด็กเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของแม่แต่ฝ่ายเดียว การให้ความยินยอมในการยกเด็กเป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น จึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากพ่อของเด็ก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
ประเด็นต่อมามีปัญหาที่น่าสงสัยว่า เมื่อมีบุคคลรับเด็กไปเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว บิดามารดาที่แท้จริงยังคงมีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูเด็กคนดังกล่าวอยู่หรือไม่
กรณีนี้แม้จะมีบุคคลรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมแล้วก็ตาม มิได้ทำให้หน้าที่ของบิดามารดาที่แท้จริงในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรของตัวเองหมดสิ้นไป แต่เนื่องจากบิดามารดาของเด็กมิได้จดทะเบียนสมรสกัน กรณีจึงต้องให้มารดาของเด็กในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้รับรองว่าเด็กคนดังกล่าวนั้น เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูไปในคดีเดียวกัน เนื่องจากบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น จึงจะมีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตร
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38 ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา หรือระหว่างบิดามารดากับบุตรนั้น ย่อมเรียกจากกันได้เมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ค่าอุปการะเลี้ยงดูนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี
เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3290/2545 และ 15200/2557
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ปัญหาของคู่รักในวัยเรียนและมีปัญหาการตั้งท้อง โดยที่ไม่พร้อมจะอุปการะเลี้ยงดูเด็กนั้น เป็นปัญหาใหญ่ สำหรับสังคมไทย ประกอบกับปัจจุบันมีปัญหาหย่าร้างกันเป็นจำนวนมาก จึงขอฝากไว้สำหรับผู้ที่กำลังคบหา ขอให้ศึกษาดูนิสัย ดูใจกันให้ดีก่อน ตัดสินใจแต่งงานหรือมีบุตร เนื่องจากปัญหาดังกล่าวนี้ ส่งผลกระทบต่อตัวท่านและบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายเอง
สำหรับผู้ที่มีคำถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายและต้องการความช่วยเหลือ หรือมีเรื่องราวดีๆ อยากแบ่งปันประสบการณ์ เมลมาหาผมได้ที่ “คุยกับคนดัง” talktoceleb@trendvg3.com หรือ Facebook: ทนายเจมส์ LK ได้เลย