ข้อมูลจากนิตยสาร For-bes Thailand ว่าไว้น่าสนใจ การที่ครอบครัวคนไทยมีลูกน้อยลงจากเฉลี่ย 6 คน เมื่อ 50 ปีก่อน เหลือเพียง 1–2 คนในเวลานี้ แถมอัตราตายในประชากรสูงวัยยังลดลง หรือคนแก่มีอายุเฉลี่ยยืนขึ้น จาก 58 ปี เมื่อ 50 ปีที่แล้ว เป็น 75 ปีในปัจจุบัน
ผลที่ตามมา ทำให้จำนวนและสัดส่วนของประชากรสูงวัยในประเทศเพิ่มขึ้น และเปลี่ยนผ่านกลายไปเป็น “สังคมสูงอายุ” อย่างรวดเร็ว เมืองไทยยังตกอยู่ในสภาพเป็น “ประเทศที่แก่ก่อนรวย” รวมทั้งมีฐานภาษีที่จะใช้เกื้อหนุนประชากรสูงอายุลดลง
คำว่า สังคมผู้สูงอายุ หรือ Aging society หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุมาตั้งแต่ประมาณปี 2548-2551 แล้ว
ส่วน สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ หรือว่า Aged society หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ หรือพูดอีกอย่าง จะมีผู้สูงอายุ 1 คน ในประชากรทุกๆ 5 คน
หรือไม่อีกกรณี หมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ซึ่งคาดกันว่า ภาวะนี้จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยภายใน ปี 2568
ในความเป็นจริง ผู้สูงอายุแต่ละคน มีสมรรถภาพ และขีดความสามารถแตกต่างกัน ตามอายุ ประสบการณ์ ความรู้ รวมทั้ง ความสมบูรณ์ของสภาพสมองและร่างกาย ซึ่งแบ่งอออกได้คร่าวๆ 3 กลุ่มใหญ่
กลุ่มแรก คือ ผู้สูงอายุ หรือคนแก่ ที่ยังสามารถดูแลตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ผู้สูงวัยกลุ่มนี้ ไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใด จึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วง
...
กลุ่มที่ 2 คือ ผู้สูงอายุที่ มีสมรรถนะบางส่วนถดถอย กลุ่มนี้ยังสามารถทำกิจวัตรประจำวัน หรือทำธุรกรรมบางอย่างได้ด้วยตัวเอง โดยมีลูกหลาน หรือคนรอบข้าง แค่คอยติดตาม หรือให้ความช่วยเหลือเพียงบางเรื่อง
กลุ่มสุดท้าย คือ ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเอง เช่น ผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม ในระดับที่ไม่สามารถคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เองตามปกติ กลุ่มนี้นอกจากจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ยังต้องมีคนดูแล

เมื่อปี 2551 หรือประมาณเกือบ 10 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีประชากรสูงอายุ มากกว่า 6.15 ล้านคน หรือราว ร้อยละ 10 ของพลเมืองรวมในประเทศ ณ ขณะนั้น
เคยมีการศึกษาปัญหาการเจ็บป่วยของผู้สูงอายุเมืองไทยไว้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ หรือราว 80–85% เป็นผู้สูงอายุที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้
มีผู้สูงอายุที่นอนติดเตียง หรือต้องพึ่งผู้อื่นให้ช่วยดูแลเพียง 15–20%
โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง 4 อันดับแรก ที่มักรุมถามหาผู้สูงอายุเมืองไทย คือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อ้วนลงพุง และ โรคข้อเสื่อม นอกจากนี้ ผู้สูงอายุไทยกว่าร้อยละ 70 สายตาไม่ดี หรือมองเห็นไม่ชัด และร้อยละ 50 หรือประมาณครึ่ง มีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร เพราะเหลือฟันแท้ในปากไม่ถึง 20 ซี่
เทียบกับสถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยในวันนี้ กาญจนา เทียนลาย นักวิจัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล บอกว่า แม้หลายประเทศจะนิยาม คำว่า “ผู้สูงอายุ” ไว้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป
แต่สำหรับประเทศไทย “ผู้สูงอายุ” หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งในปี 2560 ประชากรที่เป็นผู้สูงอายุ มีอยู่ประมาณ 11.3 ล้านคน หรือ ร้อยละ 17.1 ของประชากรทั้งประเทศแล้ว
กาญจนาบอกว่า จากผลการสำรวจประชากรสูงอายุในไทยเมื่อปี 2557 พบว่า ผู้สูงอายุชาวไทย ยังคงทำงานอยู่ ถึง ร้อยละ 38.4 และมีผู้สูงอายุที่เกษียณ หรือไม่ได้ทำงานแล้ว แต่ ยังมีความประสงค์ หรือ ยังอยากจะทำงาน อยู่อีกจำนวนไม่น้อย
อย่างเช่น มีผู้สูงอายุวัยต้น (อายุ 60-69 ปี) ร้อยละ 24.9 ผู้สูงอายุวัยกลาง (อายุ 70-79 ปี) ร้อยละ 10.3 และผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป) ที่ยังต้องการทำงานต่อไป
ซึ่งกาญจนาตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลนี้มีความสัมพันธ์กับแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุในบ้านเรา เพราะพบว่ารายได้หลังเกษียณของผู้สูงอายุไทย อันดับแรกหรือร้อยละ 35.7 คือ รายได้จากเงินที่ลูกหลานส่งเสียให้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ารายได้ส่วนนี้กำลังมีแนวโน้มลดลง
รองลงมาหรืออีกประมาณ ร้อยละ 34 เป็นรายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุเอง ซึ่งน่าสังเกตเหมือนกันว่า กรณีหลังกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
สภาพเช่นนี้ สอดคล้องกับที่ กอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจ และตลาดทุน ของธนาคารกสิกรไทย เคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ จากการสำรวจโครงสร้างประชากร และรายได้ต่อหัวของชาวอาเซียนในแต่ละประเทศ ซึ่งทำให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง จากการพัฒนาเศรษฐกิจและรายได้ของคนไทยที่ปรับตามขึ้นไม่ทันกับการเป็น “สังคมผู้สูงอายุ”
กล่าวคือ เมื่อเทียบอายุเฉลี่ยของประชากรในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน พบว่า คนสิงคโปร์เมื่อตอนที่มีอายุเฉลี่ย 40 ปี จะมีรายได้เฉลี่ยคนละ 150,293 บาท/เดือน หรือประมาณ 1,803,515 บาท/ปี
ขณะที่คนไทย เมื่อตอนมีอายุเฉลี่ย 38 ปี จะมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว แค่คนละ 17,530 บาท/เดือน หรือประมาณ 210,352 บาท/ปี เทียบกับคนมาเลเซีย เมื่อตอนที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 29 ปี จะมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว คนละ 26,624 บาท/เดือน หรือประมาณ 319,499 บาท/ปี
กอบสิทธิ์บอกว่า หรือพูดอีกอย่าง เมื่อเทียบกันแล้ว คนสิงคโปร์ แม้จะวัดกันตอนที่มีอายุมากกว่าคนไทย 2 ปี คือ ตอนมีอายุเฉลี่ย 40 ปี แต่กลับรวยกว่าคนไทย ตอนที่มีอายุเฉลี่ย 38 ปี ถึง 8.5 เท่า หรือเทียบกับคนมาเลเซีย เมื่อตอนที่เขามีอายุอ่อนกว่าเรา 9 ปี แต่กลับรวยกว่าเราถึง 1.5 เท่า

นั่นน่าจะเป็นที่มาของคำตอบว่า เหตุใดเมืองไทยจึงได้ชื่อว่า เป็นประเทศที่ “แก่ก่อนรวย”
ซึ่งการจะรวยก่อนแก่นั้น มีผู้รู้บางท่านเคยว่าไว้ ยุคนี้...ต้องมีครบอย่างน้อย 3 องค์ประกอบ คือ หาเงินเก่ง เก็บเงินอยู่ และ บริหารเงินเป็น ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง อย่าฝันเลยว่า ชาตินี้จะรวย
ลองหลับตานึกภาพ แค่องค์ประกอบแรก ถ้าหาเงินไม่เก่ง หรือได้เงินน้อย จะรวยได้อย่างไร โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนหลายคนที่ยังต้องใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน หรือมีรายได้ไม่พอกับค่าครองชีพ
ผู้รู้คนเดิมจึงแนะนำว่า ถ้าอยากเห็นชะตากรรมของตัวเองคร่าวๆ ในอีก 10 ปีข้างหน้าว่า จะมีหน้าตาหรือออกมาอย่างไร ให้สังเกตดูชะตากรรมของคนที่ทำงานแบบเดียวกับคุณ มาก่อนคุณ 10 ปี ในตอนนี้ว่า ชีวิตของเขาเป็นเช่นไร
ถ้ามันเป็นหรือใช่ชีวิต อย่างที่คุณอยากจะเห็นตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้า ถือว่า OK ให้เดินตามรอยเขาไป...แต่ถ้ามันไม่ใช่ชีวิต ให้รีบหาแหล่งรายได้ หรือโอกาสใหม่ด่วน จะได้ไม่ต้องมานั่งช้ำใจ เมื่อถึงวัยแง้มฝาโลง.