กระทรวงวิทย์ตั้ง “ไบโอแบงก์” แห่งแรกของประเทศ รวบรวมจุลินทรีย์ ไวรัส เชื้อรา เมล็ดพันธุ์ เซลล์ ยีนทั่วประเทศมาเก็บไว้ที่เดียวก่อนสูญพันธุ์ หลังถูกต่างชาติฉกฉวยนำไปเป็นของตัวเองทั้งพันธุ์ข้าว ส้มโอ ทุเรียน ฯลฯ เผยไทยมีจุลินทรีย์กว่า 8 หมื่นสายพันธุ์ มากเป็นอันดับ 6 ของโลก รมว.เจ้ากระทรวงเตรียมนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรม เกษตร พลังงาน สุขภาพ ด้าน สวทช.ส่ง 100 นักวิจัยลงพื้นที่แล้ว
การก่อตั้งธนาคาร “ชีวภาพ” ครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อวันที่ 3 ม.ค. โดยนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ก่อตั้งธนาคารทรัพยากรชีวภาพหรือไบโอแบงก์ (National BioBank) ขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศ เพื่อทำหน้าที่เก็บรักษาทรัพย์สินของประเทศใน 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านทรัพยากร ชีวภาพทั้งในรูปแบบสิ่งมีชีวิต เช่น จุลินทรีย์ ไวรัส เชื้อรา เมล็ดพันธุ์ เซลล์ และในรูปแบบของคลังข้อมูลดิจิทัลของยีนของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่ได้จากการศึกษาข้อมูลพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมาไว้ในที่เดียวกัน ในรูปแบบธนาคารจุลินทรีย์ ด้านเมล็ดพันธุ์ ทั้งที่มีเมล็ดและไม่มีเมล็ด ในรูปแบบธนาคารเมล็ดพันธุ์และด้านยีน ในรูปแบบธนาคารยีน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้เก็บรักษาทรัพยากรชีวภาพไว้เลย รวมทั้งยังสูญหายไปกับอุทกภัย ถูกต่างชาตินำไปเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ข้าว ส้มโอ ทุเรียน เป็นต้น ขณะที่พืชอาหารหลัก เมล็ดพันธุ์พืชของไทยหลายชนิดใกล้หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะเกษตรกรหันไปปลูกพืชพันธุ์ชนิดใหม่ ตลอดจนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
รมว.วิทยาศาสตร์ฯกล่าวต่อว่า ดังนั้น ไบโอแบงก์ จึงต้องเกิดขึ้นเพราะเกรงว่าทรัพยากรชีวภาพของประเทศไทย ที่ขณะนี้มีมากเป็นอันดับ 18 ของโลก จะไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไปในระยะอันใกล้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ เพราะเราไม่เห็นความสำคัญ อย่าลืมว่าไทยมีจุลินทรีย์ ไวรัส เชื้อราที่มีประโยชน์มากเป็นอันดับ 6 ของโลก และอันดับ 1 ในอาเซียน เพราะมีจุลินทรีย์ ไวรัส เชื้อรามากกว่า 8 หมื่นสายพันธุ์ ถ้าไม่นำมาเก็บรักษาไว้ในไบโอแบงก์ ไม่เหลือแน่ ทรัพยากรชีวภาพไม่ได้มีในทุกประเทศ แต่ไทยโชคดีที่มีที่ตั้งอยู่ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำในเขตใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้มีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะกับการเกิดจุลินทรีย์ ไวรัส เชื้อรา เมล็ดพันธุ์ เซลล์ ที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งควบคุมศัตรูพืช กำจัดแมลง การผลิตในวงจรอาหาร จนสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล เฉพาะแค่สมุนไพร ในปี 2559 ที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้ประเทศจากการส่งออกสูงถึง 28,000 ล้านบาท
...
นายสุวิทย์กล่าวอีกว่า ไบโอแบงก์ จะทำหน้าที่เก็บรวบรวมทรัพยากรชีวภาพทุกรูปแบบของไทย ก่อนจะนำมาคัดแยกและแบ่งหน้าที่ของจุลินทรีย์ ไวรัส เชื้อรา เมล็ดพันธุ์ เซลล์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม เกษตร พลังงาน สุขภาพ โดยจะมีการก่อตั้งโรงงานจุลินทรีย์จิ๋วเพื่อนำศักยภาพของจุลินทรีย์ที่เก็บมาได้ไปผลิตสารมูลค่าสูงในอุตสาหกรรม เช่น เอนไซม์ พรีไบโอติก รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ไปจนถึงการวิจัยด้านสเต็มเซลล์และยาชนิดใหม่ๆ เพื่อรักษาโรค ขณะที่ด้านพันธุ์พืชจะมาปรับปรุงพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และจะถูกนำมาสร้างหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มประเทศในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง เช่น การปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนน้ำท่วม ทนเพลี้ยและแมลงต่างๆ การผลิตเอทานอลให้มีของเสียน้อยที่สุด การผลิตพลาสติกที่ย่อยสลายได้หรือไบโอพลาสติก ทั้งนี้ได้มอบให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดูแลรับผิดชอบ
ด้านนายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผอ.สวทช.กล่าวว่า ได้ส่งนักวิจัยของ สวทช.มากกว่า 100 คน ลงพื้นที่เพื่อเก็บจุลินทรีย์ ทั้งเพื่อการเกษตรและโรคพืชที่ก่อโรคในคน เป็นต้น ที่ขณะนี้มีมากกว่า 80,000 สายพันธุ์ ให้เพิ่มขึ้นรวมทั้งเซลล์ของสัตว์และมนุษย์ เนื้อเยื่อพืช สารพันธุกรรม เพื่อมาเก็บไว้ในไบโอแบงก์ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เพราะการผลิตยา อาหารสัตว์ เอนไซม์ในอุตสาหกรรมกระดาษ พลังงาน เชื้อปราบศัตรูพืช จะต้องมาจากสิ่งมีชีวิตเป็นพื้นฐาน โดยจะมีการเก็บก่อนคัดแยกหน้าที่ของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ เพื่อจัดหน้าที่ของจุลินทรีย์แต่ละชนิดเพื่อนำไปใช้งาน