ประเทศไทยมีทรัพยากรต่างๆ มาก มากกว่าสิงคโปร์ มากกว่าญี่ปุ่น มากกว่าสวิตเซอร์แลนด์ มากเกินพอที่จะสร้างให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด แม้เราจะมีปัญหาต่างๆหลายด้าน จนถึงขั้นที่เรียกว่าวิกฤติ...

แต่...ถ้าคนไทยมีความมุ่งมั่นร่วมกัน เราก็จะสามารถก้าวข้ามวิกฤตการณ์อันซับซ้อนไปสู่การร่วมสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดได้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ขอเสนอวิธีการเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด 7 ประการ ดังต่อไปนี้

หนึ่ง...สร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน (เรื่องสร้างประเทศไทยที่น่าอยู่ที่สุด) ถ้าเป้าหมายใหญ่คนไทยทั้งหมดจะร่วมกันได้ ถ้าเป้าหมายเล็กแยกส่วนจะเห็นไม่ตรงกัน ขัดแย้ง ทะเลาะ หรือถึงขั้นรุนแรง

“การสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด เป็นเป้าหมายสูงสุดที่ทุกคนเห็นตรงกันได้ เพราะคนไทยทุกคนย่อมมีความต้องการตรงกันที่อยากให้ลูกหลานของเราอยู่ร่วมกันด้วยความสุขความภูมิใจบนแผ่นดินของเราผืนนี้ การสื่อสารทุกชนิดที่จะสื่อไปถึงใจของคนไทยทุกคน มุ่งมั่นร่วมกันจะสร้างพลังมหาศาล”

...

ฉะนั้นการสื่อสารทุกแขนง ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โซเชียลมีเดีย โคลงฉันท์กาพย์กลอน ละคร ภาพยนตร์ ถ้าทำหน้าที่สร้างความมุ่งมั่นร่วมกัน จะสร้างพลังแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนแปลง

สอง...สร้างจินตนาการใหม่ประเทศไทย สังคมไทยติดอยู่ในปัญหาวิกฤติที่ซับซ้อนและยาก ถ้าเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง จะออกจากวิกฤติไม่ได้ เพราะปัญหาซับซ้อนและยากเกิน กอปรกับปัญหามีรากยาวไกลและมีบุคคลที่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นเมื่อเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง นอกจากออกจากวิกฤติไม่ได้แล้วกลับขัดแย้งกันมากขึ้น เพราะมีการกล่าวโทษกันไปมา ต้องเอาพลังอนาคตมาดึงเราออกจากวิกฤติ อนาคตไม่มีจำเลยจึงสามารถร่วมกันได้

นั่นคือสร้างจินตนาการใหม่ประเทศไทย มนุษย์แต่โบราณมาล้วนมีจินตนาการถึงสังคมที่ดีพร้อมในอนาคต เช่น ฝันถึงยุคพระศรีอาริย์ การสื่อสารทุกแขนงควรชักชวนให้คนไทยทั้งประเทศมีจินตนาการใหม่ประเทศไทย ว่าประเทศไทยที่ดีงามน่าอยู่ที่สุดนั้นเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ขอให้จินตนาการได้อย่างเสรีสุดๆ

“พลังของจินตนาการ”...จินตนาการยิ่งใหญ่ยิ่งมีพลังมาก ถ้าคนไทยได้มีจินตนาการอย่างเสรีถึงประเทศไทยที่ดีงามน่าอยู่ที่สุด จะเกิดพลังมหาศาลที่ขับเคลื่อนไปสู่อนาคต มีการรวบรวมสังเคราะห์จินตนาการใหม่ประเทศไทยที่คนไทยร่วมกันสร้าง สิ่งนี้อาจเรียกว่า “อุดมทัศน์ประเทศไทย” หรือ “นโยบายประเทศไทย” ก็ได้

ไม่ใช่นโยบายที่ผู้นำหรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดประกาศ แต่เป็นนโยบายที่คนไทยทั้งประเทศร่วมสร้าง...เกิดพันธะทางใจที่จะขับเคลื่อนให้เป็นจริง...เป็นประชาธิปไตยโดยสาระ มิใช่แต่โดยรูปแบบเท่านั้น

สาม...หลักการใหญ่ : สร้างความเป็นธรรมลดความเหลื่อมล้ำ เมื่อมีความมุ่งมั่นร่วมกันและมีจินตนาการใหญ่แล้วก็มาถึงหลักการ หลักการใหญ่ของสังคมน่าอยู่ก็คือมีความเป็นธรรม...ไม่มีความเหลื่อมล้ำมากเกินความเป็นธรรม ผู้คนจะมีความสุข รักส่วนรวม และการต้องรักษาระบบ

ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำมาก มีการอ้างถึงตัวเลขว่าเหลื่อมล้ำสูงเป็นที่ 3 ในโลก ประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำน้อย คือ ญี่ปุ่น และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่นใช้วิธีทำให้รายได้ใกล้เคียงกัน ประเทศแถบสแกนดิเนเวียใช้การเก็บภาษีคนรวยสูง ประเทศไทยคงต้องใช้ทั้ง 2 วิธีร่วมกัน บวกกับวิธีอื่นๆ

“ความเหลื่อมล้ำมีหลายมิติ มหาวิทยาลัยทั้งหมด องค์กรต่างๆทั้งหมดของรัฐ...เอกชน...วงการสื่อสารทั้งหมดควรทำความเข้าใจเรื่องความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำและช่วยกันผลักดันให้ประเทศไทยมีความเป็นธรรมโดยมีความเหลื่อมล้ำน้อยที่สุดจึงเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด”

สี่...หลักการ : บูรณาการ การคิดและทำแบบแยกส่วนนำไปสู่สภาวะวิกฤติเสมอ การพัฒนาต่างๆ มักคิด...ทำแบบแยกส่วนจึงเกิดสภาวะวิกฤติและความไม่ยั่งยืน... “ชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานของประเทศถ้าฐานของประเทศแข็งแรงจะรองรับประเทศทั้งหมดให้มั่นคง ชุมชนเป็นระบบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุลระหว่างคนกับคน และระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม จึงเป็นฐานของสังคมสันติสุขและศีลธรรม”

ในขณะที่สังคมข้างบนเป็นเรื่องของอำนาจกฎหมาย เงิน มายาคติ และความฉ้อฉลต่างๆ จึงไม่มีที่อยู่ของศีลธรรม แม้มีการสอนวิชชา ศีลธรรม...ศีลธรรมก็ไม่เกิด เพราะศีลธรรมไม่ใช่วิชา แต่คือระบบการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสมดุล

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ย้ำว่า เรามี 3 เสาหลักที่ค่อนข้างพร้อมที่จะสร้างฐานของประเทศให้เข้มแข็ง คือ ผู้นำชุมชนท้องถิ่นที่ดีๆและเก่งๆ, ระบบบริการสุขภาพชุมชน และวัด ประมาณ 5 วัดต่อชุมชน

แม้วัดจะซวนเซไปบ้าง แต่ก็ไม่ยากที่จะรื้อฟื้นให้เป็นศูนย์แห่งการพัฒนาจิตใจ...พัฒนาอย่างบูรณาการทั้ง 8 เรื่อง เชื่อมโยงอยู่ในกันและกันคือ เศรษฐกิจ–จิตใจ–สังคม–สิ่งแวดล้อม–วัฒนธรรม–สุขภาพ–การศึกษา–ประชาธิปไตย เต็มพื้นที่จะทำให้ประเทศไทยน่าอยู่ที่สุด

ห้า...หลักการ : พลังพลเมืองที่กัมมันตะและมีจิตสำนึกสาธารณะ องค์กรต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนควรทำหน้าที่สร้างพลังพลเมือง ถ้าระบบการศึกษาเปลี่ยนจากการเป็นระบบท่องวิชา แต่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสังคม ไม่ร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ร่วมแก้ปัญหา ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นระบบการศึกษาแบบแยกส่วนที่อยู่นอกสังคม มาเป็นระบบการศึกษาที่บูรณาการอยู่ในสังคม ทำหน้าที่สร้างพลังเมืองที่กัมมันตะ...มีจิตสำนึกสาธารณะ

“ประเทศไทย”...จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว

หก...ระบบการศึกษาเปลี่ยนประเทศไทยเปลี่ยน การเรียนรู้แบบ “ท่อง” ไม่ใช่การเรียนรู้จาก “ทำ”…“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ” คำโบราณ คนเราเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากการทำ แต่การศึกษาของเรากลับใช้ “สิบปากว่า”...จึงเกิดความสูญเปล่ามหาศาลและเป็น ตุ้มถ่วง (load) แทนที่จะเป็น พลัง พัฒนา เพราะสร้างคนที่หยิบโหย่ง ทำงานไม่เป็น ไม่อดทน ไม่รับผิดชอบ

ถ้าระบบการศึกษาของเราเรียนรู้จากการ “ทำ” หรือปฏิบัติการสร้างสรรค์เศรษฐกิจสังคม ระบบการศึกษาก็จะกลายเป็น พลัง...การปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญคือการเปลี่ยนการเรียนจาก “ท่อง” เป็น “ทำ”

เจ็ด...เปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการประเทศ ระบบราชการเป็นระบบควบคุมที่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ซึ่งใช้ไม่ได้ผลสำหรับสังคมสมัยใหม่ที่มีความหลากหลายซับซ้อนยากและเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยรวดเร็ว รัฐบาลไม่ว่าในระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็บริหารผ่านระบบราชการซึ่งมีประสิทธิผลประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ประเทศออกจากสภาพวิกฤติไม่ได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนการบริหารจัดการประเทศ

“เรื่องที่ซับซ้อนและยากใช้อำนาจไม่ได้ผล การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติในสถานการณ์จริงเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่ง เพราะทำให้ฝ่าความยากไปสู่ความสำเร็จ...ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน โดยเกิดความรัก ความเอื้ออาทร ความเชื่อถือไว้วางใจกัน เกิดปัญญาร่วม นวัตกรรม อัจฉริยะกลุ่ม”

และ...ความสุขประดุจบรรลุนิพพาน คนทั้งสังคมทุกภาคส่วนควรทำความเข้าใจเรื่องการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงตนเอง และเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

ท้ายที่สุดแล้ว “ความสุขของคนไทย” ใน “ประเทศที่น่าอยู่” คือทุกคนมีความเข้าใจ...มีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน.