แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เปิดเผยผ่านรายการถามตรงๆ หลังพบว่าเป็นมะเร็ง และต้องสูญเสีย คุณเสถียร เสถียรสุต ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน ว่า การป่วย และการสูญเสียที่เกิดขึ้นนั้น คุณแม่ก็รู้สึกเหมือนที่คนอื่นเป็น แต่การฝึกปฏิบัติ และการบวชมา 38 ปีนั้น คุณแม่รู้สึกได้ว่า เราอยู่กับพระธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ เหมือนการทำแบบฝึกหัด เราต้องฝึกปฏิบัติต่อไป ซึ่งมนุษย์มีเกิด ก็ต้องมีตาย เป็นโลกธรรม 8 ถ้าเราเข้าใจ เราไหวกับเรื่องดังกล่าว ก็ขอให้มันสั้นที่สุด ไม่หลงไปกับความไหว
ทั้งนี้ เรื่องการเจ็บป่วย ถือเป็นประตูที่เปิดเข้ามาแบบรวดเร็ว ทั้งที่คุณแม่ยังแข็งแรงดีอยู่ ดูเหมือนไม่ป่วย เพราะใจนำ แม้จะป่วยอยู่ แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บ แสดงว่าแม่ประมาทเกินไป ปล่อยให้มะเร็งโตจนไปค้ำอวัยวะอื่น
...
"ตอนได้ยินว่าเป็นมะเร็ง แม่เตรียมใจไปแล้ว เราฝึกจิต เข้าใจโรค และธรรม แม่คิดก่อนไปฟังกับคุณหมอ เช่น โจทย์ของเราเป็นมะเร็ง เราจะทำอย่างไร สิ่งที่เป็นนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างไร มันทำให้เราแม่นยำในการออกศึก เหมือนเราคาดการณ์เอาไว้ว่า ซึ่งถ้าเป็นคนไม่เคยถามตัวเอง เช่นว่า ถ้าคนที่เรารักหายไป เราจะทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร อยู่ได้หรือไม่ สิ่งนั้น หรือความทุกข์ จะมีอิทธิพลกับเราน้อยลง เพราะเรามีทางออก ซึ่งตัวแม่เองมองว่า ความจากพรากต้องเป็นประโยชน์ แม่ต้องยอมรับความจริง และต้องรับการรักษา แต่แม่ไม่ยอมจำนน"

ทั้งนี้ มีอยู่ 3 หลักที่แม่ยึดปฏิบัติมาโดยตลอด คือ 1.เป็นคนไข้ที่ดีของหมอ ในฐานะผู้ป่วย 2.ปรับเปลี่ยนการกินอยู่ การให้โอกาสกับตัวเอง ดูแลเรื่องอาหารการกิน ปฏิบัติตัวใหม่ และก็ใช้ธรรมชาติบำบัด และ 3.การภาวนาฝึกจิต พิจารณาการป่วยของตัวเอง
แม่ชีศันสนีย์ กล่าวอีกว่า การภาวนาฝึกจิตเป็นสิ่งสำคัญ การหายใจแบบมีสติ เรื่องที่คุณแม่ทำ แม้ว่าจะยาก หลายคนบอกทำไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วความสม่ำเสมอจะทำให้ง่าย ทุกคนทำได้ แต่ที่ทุกคนทำไม่ได้ เพราะทุกคนมีความสม่ำเสมอต่างกัน หายใจแบบรู้ตัวทั่วพร้อม เราพูดเรื่องจิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่การนั่งสมาธิ
วิธีการฝึกคือ ต้องฝึกอยู่ในวิถีประจำวัน ซึ่งอยากให้ลองฝึกดู 7 วันนี้ก็ได้ หายใจเข้ายาวเราก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่าเราหายใจ เข้ายาว หายใจออกยาว เราก็รู้ตัวทั่วพร้อมว่าเราหายใจออกยาว เมื่อเราหายใจเข้าสั้นเราก็รู้ตัวว่าเรากำลังหายใจเข้าสั้น กายใจเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับปัจจุบัน ทำให้เรามีความระลึก รู้เท่าทันปัจจุบัน ขณะว่าเกิดอะไรขึ้น

"ถ้าคุณคิดว่าจะสู้กับมะเร็งคุณก็แพ้ เพราะเราสู้กับอัตตาตัวเอง แต่หากเราเรียนรู้อย่างอ่อนโยน ว่ามะเร็งคือเซลล์ในร่างกายเรา หากเราเป็นกุศล รู้ว่าเจ็บ ไม่โกรธว่าเจ็บ สื่อสารกับมะเร็งแบบมีสติได้ ปฏิบัติกับมะเร็งอย่างเข้าใจ ฝีกจิต ฝึกภาวนา เพื่อที่จะได้เยียวยาตัวเรา"
ส่วนการสูญเสียคุณเสถียรนั้น แม่ชีศันสนีย์ กล่าวว่า ถ้าพูดให้เห็นถึงความจริง ไม่ว่าวันใดวันหนึ่งเราก็ต้องพบกับความพลัดพราก แม่ก็บอกคุณเสถียรว่า ให้คุณวางใจได้เลย เสถียรธรรม ได้ทำบุญทุกวัน เราทำกุศลทุกวัน พึงระลึกไว้ เกิดตายเป็นแพ็กเกจทั้งนั้น ซึ่งคราวนี้เป็นคนใกล้ใจเรา แม่ก็เห็นนะว่าการทำงานของร่างกายคุณเสถียรเป็นอย่างไร ถ้าหากเธอเข้าไอซียู เธอจะอยู่ได้ด้วยเครื่องมือ
"คุณแม่ก็ร้องไห้ก่อนที่เขาจะไป แต่ไม่ให้คุณเสถียรเห็น เมื่อเขาหายใจลำบากขึ้น มันมีความรู้สึกที่เห็นเลยว่า คนที่รักเราอาจหาญนะ ไม่ปฏิเสธ การที่เขาไปแบบสงบ คุณแม่ต้องมุทิตากับเขา เพราะเขามีความเป็นส่วนตัวสูง และไม่กลัว ไม่รู้สึกว่าตัวเองห่วงอะไร เป็นมุทิตา ที่ชื่นชม ไม่กลั้นกลืน ฟืนไว้ สงบ ไม่โวยวาย และพูดว่าคุณเจ็บ แม่ก็บอกว่า อ่อนโยนกับมันนะ แป๊บเดียวสั้นๆ นะ น้ำตาแห่งมุทิตา ซึ่งแม่ไม่ได้ร้องไห้แบบอกุศล ดีใจที่คุณเสถียรอาจหาญได้ขณะนี้"

แม่ชีศันสนีย์ ทิ้งท้ายว่า ในช่วงคุณแม่ป่วย และสูญเสียบุคคลสำคัญของชีวิต คุณแม่ได้การเกิดใหม่ เหมือนเป็นการได้ชีวิตใหม่ ชีวิตระวังมากขึ้น เป็นชีวิตที่ต้องเคารพมันมากขึ้น เช่นถ้าเรารู้ว่าความตายมาถึงเราง่ายขึ้น เราจะมีชีวิตที่เหลืออยู่สั้นลง เราต้องสดขึ้น คุณแม่คิดว่ารหัสตรงนี้ที่คุณแม่ได้จากการสูญเสีย จากการเจ็บป่วยครั้งนี้ เรามีชีวิตที่สั้นลง แต่ต้องสดขึ้น ซึ่งหากคนเรามีชีวิตที่ยืนยาว แต่มีชีวิตที่กะโหลกกะลา ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร
"ไม่สำคัญว่าอายุสั้น อายุยาว คุณอยู่แบบอิสระจากทุกข์หรือเปล่า รู้ทันกาย รู้ทันใจ ชีวิตก็เกิดใหม่ทุกวัน ต้องอยู่แบบไม่ตายทั้งเป็น และต้องอยู่อย่างมีความหมาย".