การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังค่อยๆส่งผลให้มีความร้อนและความชื้นสูงขึ้นภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคแถบเอเชียใต้ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 15,000 ล้านคน โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในฮ่องกง เจาะจงว่า พื้นที่การเกษตรที่มีประชากรอาศัยหนาแน่นบริเวณแม่น้ำคงคาและแม่น้ำสินธุ จะได้รับผลกระทบมีอันตรายรุนแรงที่สุดจากการถูกคลื่นความร้อนโจมตีอย่างเข้มข้นในอนาคต และการออกไปอยู่กลางแจ้งอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิต
นักวิจัยได้จำลองรูปแบบการหมุนเวียนของบรรยากาศทั่วโลกด้วยคอมพิวเตอร์ ด้วยการใช้ข้อมูลภายใต้ 2 สถานการณ์คือ โลกที่มีการลดการปล่อยก๊าซเพื่อลดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกลงเหลือ 2 องศาเซลเซียส และโลกที่ยังคงมีการปล่อยก๊าซออกมาในระดับเดียวกับปัจจุบัน โดยได้พิจารณาอุณหภูมิกระเปาะเปียก (Wet bulb temperature) คืออุณหภูมิของอากาศที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์ถ่ายเทออกมาเมื่อผ้าเปียกที่หุ้มรอบกระเปาะเครื่องวัดอุณหภูมิ ทั้งนี้ อุณหภูมิกระเปาะเปียกมักจะมีอุณหภูมิต่ำกว่ากระเปาะแห้ง (Dry bulb temperature) ซึ่งขึ้นอยู่กับความชื้น และเป็นตัวช่วยประเมินว่าน้ำจะระเหยได้ง่ายเพียงใด นอกจากนี้ ยังสามารถเป็นเครื่องวัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจเป็นอันตรายได้ด้วย
นักวิทยาศาสตร์เผยว่าอุณหภูมิกระเปาะเปียกเพียง 31 องศาเซลเซียสก็นับว่าอยู่ในขีดอันตรายแล้ว แต่มนุษย์ก็สามารถอยู่รอดได้ถึง 35 องศาเซลเซียส หากเกินกว่านั้นร่างกายมนุษย์จะมีปัญหาในการขับเหงื่อให้เย็นลงหรือเหงื่อไม่ระเหย มีโอกาสเกิดอาการฮีทสโตรก (heat stroke) หรือโรคลมแดด และอาจเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมงแม้จะอยู่ในที่ร่มและมีอากาศถ่ายเทก็ตาม.