“...ก็ได้พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดูแลสั่งสอนมาตลอดว่า สิ่งใดควรทำไม่ควรทำบ้าง ทรงสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักว่าการที่จะเป็นพระราชินีของไทย จะต้องวางตนอย่างไรบ้าง และมีหน้าที่อย่างไรบ้าง ข้อสำคัญรับสั่งว่า ต้องเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของราษฎร ให้เขามีความสนิทสนม ที่ราษฎรจะออกปากเล่าความทุกข์ของเขาให้ฟังได้ และพระองค์ท่านก็ได้ปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่าง ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักการทำตนใกล้ชิดกับราษฎร เช่น เวลามีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร ไม่โปรดทรงยืน ทรงถือขนบธรรมเนียมไทยที่จะไม่ยืนค้ำผู้เฒ่าผู้แก่ จะประทับลงรับสั่งกับราษฎรเสมอมา แม้จะเป็นตอนเที่ยงแดดร้อนเปรี้ยงก็ตาม”...“สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงเล่าถึงเมื่อครั้งเริ่มโดยเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ไปทรงงานในภูมิภาคต่างๆ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 ส.ค.2534
นับจากการโดยเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ไปทรงเยี่ยมเยือนพสกนิกรครั้งแรก เมื่อปี 2498 “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ก็ได้ทรงงานเคียงข้างล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9 มาอย่างต่อเนื่อง ทรงตรากตรำพระวรกายบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วย เพื่อทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร อีกทั้งยังทรงอุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อทรงค้นหาหนทางช่วยเหลือให้พสกนิกรของพระองค์มีชีวิตที่ดีขึ้น และได้พออยู่พอกิน โดยพระราชทานแนวพระราชดำริในการดำเนินโครงการต่างๆไว้หลากหลายด้านถึง 4,000 กว่าโครงการ เพื่อสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชน และสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติ
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีที่แห่งใดบนผืนแผ่นดินไทยที่ทั้งสองพระองค์ไม่เคยเสด็จฯไปถึง ทรงเพียรพยายามทุกวิถีทางที่จะตระหนักรู้ถึงความเดือดร้อนและความต้องการของราษฎร เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือได้อย่างสอดคล้องกับสภาพปัญหาแท้จริง ทรงเริ่มตั้งแต่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ตลอดจนวางรากฐานการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน
ทรงช่วยเหลือพสกนิกรทุกคนที่มาเข้าเฝ้าฯในพื้นที่ โดยการช่วยเหลือราษฎรจำนวนมากที่มากราบบังคมทูลความทุกข์ร้อนนั้น พระองค์ทรงมีวิธีการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยก่อนเสด็จฯในแต่ละพื้นที่จะทรงส่งทีมล่วงหน้าไปก่อน ทั้งหน่วยแพทย์และคณะทำงานด้านต่างๆ เพื่อสำรวจว่าประชาชนทุกข์ร้อนในเรื่องใดบ้าง และจัดเตรียมให้เข้าเฝ้าฯเป็นกลุ่มๆ
พระองค์ทรงสอนคณะทำงานว่า คนเราดูจากเสื้อผ้าไม่ได้หรอก บางคนเขาชอบแต่งตัว บางคนเขาไม่ชอบแต่งตัว บางทีเขาทำไร่ทำนาอยู่ พอบอกว่าเสด็จฯมาเขาก็มาเฝ้าฯทั้งอย่างนั้นเลย พระองค์ทรงสอนให้ดูจากแววตาของเขา คนเราจะมีสุขหรือทุกข์จะแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของเขา
เวลาทรงงานจะประทับกับพื้น ไม่ได้ประทับกับเก้าอี้ จะมีพรมปูและมีเบาะบางๆ สำหรับเป็นที่ประทับพับเพียบ แล้วก็มีโต๊ะอยู่ตรงหน้า มีตัวอย่างผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพทุกประเภท ทั้งย่านลิเภา ตุ๊กตาแกะสลัก เครื่องเงิน และถมทอง เป็นต้น แล้วก็ให้ราษฎรแต่ละครอบครัวเข้าไปเฝ้าฯ บางรายหัวหน้าครอบครัวคนเดียวเข้าเฝ้าฯ บางรายก็แม่บ้าน บางรายมาทั้งครอบครัว ทีมล่วงหน้าซักประวัติไว้แล้วส่วนหนึ่ง และพระองค์จะทรงซักถามเพิ่มเติมในรายละเอียดด้วยพระองค์เองอีกครั้งหนึ่ง จะทรงซักถามว่ามีปัญหาไหม แล้วทำมาหากินอะไร เมื่อชาวบ้านกราบบังคมทูล พระองค์ก็จะทรงจดและสั่งการว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไร ทรงแก้ปัญหาให้เขาเป็นข้อๆไป หากเป็นเรื่องที่ไม่สลับซับซ้อนก็ทรงแก้ไขปัญหาให้ทันทีเลย บางครั้งก็ทรงนัดแนะไปสำรวจในภายหลัง นอกจากนี้จะทรงขอให้หน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยทหารติดตาม ดูแลการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง และกราบบังคมทูล รายงานความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือให้ทรงทราบเป็นระยะๆ
ภาพที่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ประทับนั่งพื้นนานนับ 4-5 ชั่วโมง มีโต๊ะเตี้ยๆอยู่ข้างหน้า เพื่อทรงงานกับชาวบ้านที่หมุนเวียนเปลี่ยนกันเข้ามาทีละคนทีละกลุ่ม โดยไม่ทรงลุกไปไหน หรือภาพทรงคุกพระชานุอย่างไม่ทรงรังเกียจว่าพื้นดินจะเปียกหรือมีฝุ่น ล้วนเป็นภาพแห่งความทรงจำที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้งประเทศ
ทรงเป็นเสมือนแม่ของแผ่นดินไทย พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อประชาชน บางครั้งเสด็จฯไปเยี่ยมราษฎรโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ได้ก็จริง ทว่าขากลับก็ต้องเสด็จฯกลับก่อนมืด แต่พระองค์ทรงเห็นว่าประชาชนที่มาขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือในเรื่องต่างๆยังไม่หมด มีอีกเป็นจำนวนมาก พระองค์จึงทรงอยู่จนมืดค่ำ และประทับกลับทางรถยนต์ ซึ่งใช้เวลานานกว่าทางเฮลิคอปเตอร์มาก
ย้อนกลับไปเมื่อผู้ถวายงานใน “โครงการฟาร์มตัวอย่าง” กราบบังคมทูลว่า ได้จ้างชาวเขามาทำงานในฟาร์มตัวอย่างที่บ้านขุนแตะ จังหวัดเชียงใหม่ เพียง 40 คน ถ้าจ้างคนงานมากๆ อาจจะต้องขาดทุน เพราะผลผลิตยังน้อยอยู่
“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีรับสั่งว่า “อย่ามาพูดเรื่องกำไรขาดทุนกับฉันนะ ฉันต้องการให้คนจนมีงานทำมากๆ ขาดทุนของฉัน คือกำไรของแผ่นดิน”
คำว่า “กำไรของแผ่นดิน” คือการทำให้คนยากจนในชุมชนนั้นๆมีงานทำมีรายได้ไปเลี้ยงครอบครัว ไม่ต้องไปเป็นโจรขโมย หรือยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งไม่ตัดไม้ทำลายป่า ชุมชนนั้นจะมีความสุขความสงบ หากทุกชุมชนเป็นเช่นนี้ ก็จะแผ่วงกว้างเป็นความสุขความสงบของตำบล อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติ
ตลอดเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระองค์มิได้มีพระราชประสงค์ในสิ่งใด นอกเหนือจากทรงปรารถนาให้ประชาชนคนไทยอยู่เย็นเป็นสุข และไม่ทะเลาะกัน.
ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่
