สมาชิก

งดงามตระการตา พยุหยาตรา ทางชลมารค 2 ล้นเกล้าถวายผ้าพระกฐินวัดอรุณราชวราราม (คลิป)

-ก+

แชร์ข่าว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมพระราชโอรสและพระราชธิดาเสด็จพระราชดำเนิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ประจำ ปี 2567 ณ วัดอรุณราชวราราม ท่ามกลางพสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศแห่เฝ้าฯรับเสด็จเนืองแน่นสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และร่วมชมขบวนเรือพระราชพิธีที่สุดสง่างามสมพระเกียรติ ด้วยความปลาบปลื้มใจในมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ รวมถึงพร้อมใจร่วมถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้อง

เมื่อวันที่ 27 ต.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราช ดำเนินไปในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน พุทธศักราช 2567 โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 ก.ค.2567 ณ วัดอรุณราชวราราม

ในหลวง-ราชินีเสด็จฯ ท่าวาสุกรี

ทั้งนี้ เวลา 15.14 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราช ดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ถึงยังท่าวาสุกรี ถนนสามเสน เขตดุสิต กทม.ในโอกาสนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราช กุมาร โดยเสด็จในการนี้ด้วย โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา นางชนากานต์ ธีรเวชพลกุล ประธานศาลฎีกา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ เมื่อเสด็จฯ ถึงยังสะพานฉนวนประจำท่าเทียบเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการขบวนพยุหยาตราทางชลมารค กราบ บังคมทูลพระกรุณารายงานจำนวนเรือพระราชพิธี ทั้ง 52 ลำ รวมถึงเรือพระที่นั่ง 4 ลำ

ประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตน ราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกร รัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ประทับเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ส่วนเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เป็นเรือเชิญผ้าพระกฐิน และพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.ร.ท.สมบัติ จูถนอม ผู้ควบคุมเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ กราบบังคมทูล พระกรุณารายงานจำนวนฝีพายประจำเรือพระที่นั่ง ว่าที่นาวาเอก คมสันต์ ศรีหลง นายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตเคลื่อนขบวนพยุหยาตราทางชลมารค และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์เข้าเทียบสะพานฉนวนน้ำ หน้าพระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม

ทรงแย้มพระสรวลให้พสกนิกร

ต่อมา พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง รับพระบรมราชโองการแจ้งนายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ให้ยาตราขบวนพยุหยาตราทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เคลื่อนออกจากท่าวาสุกรีในเวลา 15.22 น. ขณะนั้นกองทหารเกียรติยศถวายความเคารพ ดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชธงชัยเฉลิมพล ชาวพนักงานประโคมกระทั่งมโหระทึก สังฆ์ แพรงอน แตรฝรั่ง ปี่และกลองชนะประจำเรือพระราชพิธีประโคมขึ้นพร้อมกัน ซึ่งระหว่างเส้นทางเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระเจ้า ลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงแย้ม พระสรวลและทรงโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกรที่รอเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นระยะ ยังความปลื้มปีติให้กับเหล่าพสกนิกรเป็นอย่างมาก

จัดรูปขบวนตามโบราณราชประเพณี

สำหรับการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ปี 2567 กองทัพเรือจัดรูปขบวนตามรูปแบบโบราณราชประเพณีทุกประการ แบ่งเรือออกเป็น 5 ริ้ว 3 สาย มีกำลังพลประจำเรือทุกริ้วขบวน จำนวน 2,412 นาย ใช้เรือพระราชพิธีทั้งสิ้น 52 ลำ รวมถึงเรือพระที่นั่ง 4 ลำ ประกอบด้วย เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ระยะทางจากท่าวาสุกรี ถึงท่าฉนวนน้ำ หน้าพระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม รวม 3.9 กิโลเมตร มีเจ้าพนัก งานเห่เรือ 2 นาย คือเรือโทสุราษฎร์ ฉิมนอก และพันจ่าเอกพูลศักดิ์ กลิ่นบัว ใช้กาพย์เห่เรือพระราชพิธี 4 บท ประพันธ์โดย พล.ร.ต.ทองย้อย แสงสินชัย ประกอบด้วยบทสรรเสริญพระบารมี บทบุญกฐิน บทชมเรือ และบทชมเมือง

เสด็จขึ้นท่าหน้าพระอุโบสถ

กระทั่งเวลา 16.12 น. เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เข้าเทียบท่าฉนวนน้ำ หน้าพระอุโบสถ วัดอรุณราชวราราม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จขึ้นท่าฉนวนน้ำ โดยมี พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการขบวนพยุหยาตราทางชลมารค กราบบังคมทูลพระกรุณารายงาน พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม นายอรรษิษฐ์สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เฝ้าฯรับเสด็จ ขณะเดียวกับที่พสกนิกรที่เฝ้าฯรอรับเสด็จในบริเวณดังกล่าวต่างเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้อง ขณะที่เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชที่เชิญผ้าพระกฐิน ได้เข้าเทียบสะพานฉนวนน้ำ หน้าพระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม ในเวลา 16.08 น. เจ้าพนักงานพระราชพิธีเชิญผ้าพระกฐินจากบุษบกเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ไปรอทูลเกล้าฯ ถวายในพระอุโบสถฯ รวมเวลาในการเคลื่อนขบวนพยุหยาตราทางชลมารคราว 50 นาที จากนั้นขบวนเรือพระที่นั่งและเรือพระราชพิธีทุกลำได้หันกลับตั้งขบวนเรือฯอีกครั้งเพื่อรอส่งเสด็จ

ทรงถวายผ้าพระกฐิน

ลำดับต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯพร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ไปยังพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับผ้าไตรจากเจ้าพนักงานศุภรัต ทรงวางผ้าไตรเหนือพานแว่นฟ้า ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานพระอุโบสถ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 2 ทรงหยิบผ้าห่มสำหรับพระประธานที่วางอยู่บนผ้าไตรพระราชทานเจ้าพนักงานภูษามาลา ทรงหยิบผ้าไตรที่พานแว่นฟ้านั้นพาดระหว่างพระกรทรงกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน ทรงวางผ้าไตรไว้บนพานแว่นฟ้าที่เดิม แล้วทรงประเคนผ้าไตรและเทียนปาฏิโมกข์แด่พระสงฆ์รูปที่ 2 เมื่อพระสงฆ์ทำพิธีกฐินกรรมแล้ว เสด็จฯไปถวายเครื่องบริวารพระกฐินแด่พระสงฆ์ผู้ครองผ้าพระกฐินทรงหลั่งทักษิโณทก เสร็จแล้วพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายเกียรติวิสุทธิ์ เพ็ชรหมื่นไวย ผู้อำนวยการเขตบางกอกใหญ่ กราบบังคมทูลเบิกผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินบำรุงวัดเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานของที่ระลึกตามลำดับ

เจ้าอาวาสถวายพระพุทธนฤมิตร

จากนั้นเสด็จฯไปทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ ทรงลาพระสงฆ์ โอกาสนี้เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ถวายพระพุทธนฤมิตร (จำลอง) ขนาดหน้าตัก 9 นิ้วเนื้อทองคำ และเนื้อเงิน แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายพระพุทธนฤมิตร (จำลอง) ขนาดหน้าตัก 7 นิ้ว เนื้อทองคำ และเนื้อเงิน แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และถวายพระพุทธนฤมิตร (จำลอง) ขนาดหน้าตัก 3.5 นิ้ว เนื้อทองคำและเนื้อเงินแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร แล้วเสด็จออกชานหน้าพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยบูชาพระพุทธนฤมิตร (พระพุทธรูปฉลองพระองค์รัชกาลที่ 2 แล้วเสด็จฯไปยังพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงวางพุ่ม ดอกไม้ และทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะ แล้วเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ ซึ่งตลอดเส้นทางเสด็จฯผ่านมีประชาชนที่มารอเฝ้าฯ รับเสด็จต่างพร้อมใจกล่าวคำถวายพระพร “ทรงพระเจริญ” จนดังก้องไปทั่วบริเวณ

ในหลวงทรงชื่นชมขบวนเรือฯ

ต่อมาใน ภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีฯกองทัพเรือแจ้งหนังสือขอบคุณกำลังพลที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ณ วัดอรุณราช วรารามวรมหาวิหาร ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 ความว่า บัดนี้ การปฏิบัติเสร็จสิ้นลงแล้วด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ ทั้งมีพระราชดำรัสกับผู้บัญชาการทหารเรือว่า “สวยงามมาก สวยงาม” จึงขอขอบคุณกำลังพลทุกนายที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่การวางแผน การเตรียมการ การซักซ้อม และ สนับสนุนสิ่งต่างๆ จนถึงการปฏิบัติจริง ทำให้ผลการปฏิบัติเป็นไปด้วยความเรียบร้อยเป็นที่ชื่นชมของประชาชน อันเป็นการสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ให้แก่ประเทศชาติและกองทัพเรือ

บวงสรวงแม่ย่านางเรือพระราชพิธี

สำหรับการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคฯ ในครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทุกขั้นตอนทำตามโบราณราชประเพณีทุกประการ เรือทุกลำได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและสมพระเกียรติ โดยในช่วงเช้ากองทัพเรือมีพิธีบวงสรวงพระภูมิเจ้าที่ในพื้นที่ต่างๆ ขณะที่ส่วนของพิธีเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือพระราชพิธี ได้จัดขึ้นในพื้นที่อู่ทหารเรือธนบุรี กรมอู่ทหารเรือ ถนนอรุณอมรินทร์ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่จอดเรือพระที่นั่ง และเรือรูปสัตว์ ในเวลา 09.09 น. โดยมี พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีบวงสรวงและเซ่นไหว้แม่ย่านางเรือพระราชพิธี ที่อู่หมายเลข 1 อู่ทหารเรือธนบุรี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพลประจำเรือและเจ้าหน้าที่ในการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อพนักงานอ่านโองการบวงสรวงแม่ย่านางเรือพระที่นั่งและเรือพระราชพิธีในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทั้ง 52 ลำจบ ประธานในพิธีได้มอบพวงมาลัยให้กับผู้ควบคุมเรือพระที่นั่ง และนายเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ และมอบพานพวงมาลัยนำไปบูชาแม่ย่านางเรือ ดังนี้ ผู้แทนนายเรือ เรือรูปสัตว์ 10 ลำ จำนวน 1 พาน ผู้แทนนายเรือ เรือดั้ง 22 ลำ จำนวน 1 พาน ผู้แทนนายเรือ เรือแซง 7 ลำ และเรือตำรวจ 3 ลำ จำนวน 1 พาน ผู้แทนนายเรือ เรือแตงโม เรืออีเหลือง เรือทยานซล เรือเสือคำรนธุ์เรือทองขวานฟ้า เรือทองบ้าบิ่น จำนวน 1 พาน

คนเข้าชมแน่นสองฝั่งเจ้าพระยา

ขณะที่ตลอดสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตามเส้นทางเสด็จฯ โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคฯ ตั้งแต่เช้ามืด มีประชาชนทุกเพศทุกวัยจากทั่วทุกสารทิศเข้ามาจับจองที่นั่งที่ทางการจัดไว้ให้ทั้ง 14 จุด ได้แก่ แนวริมน้ำธนาคารแห่งประเทศไทย ใต้สะพานพระราม 8 ทั้งสองฝั่ง สวนสันติชัยปราการ ลาน 60 ปี และลานปรีดีพนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าช้าง ท่าเตียน ท่าเรือวัดโพธิ์ ใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า (ฝั่งธนบุรี) สวนสุขภาพและอุทยานสถานพิมุข รพ.ศิริราช วัดระฆังโฆสิตาราม และวัดอรุณฯ ซึ่งทุกจุดเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่สวมเสื้อสีเหลืองมือถือธงตราสัญลักษณ์และธงชาติมารอด้วยความดีใจที่ได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จฯ และชมขบวนพยุหยาตราทางชลมารค อันเป็นหนึ่งในพระราชพิธีสำคัญในครั้งนี้ เช่นเดียวกับจุดที่มีการตั้งจอแอลอีดีขนาดใหญ่ ถ่ายทอดภาพให้ประชาชนได้ชม 18 จุด อาทิ ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการ กทม. สวนนคราภิรมย์ ราชนาวีสโมสร หอประชุมกองทัพเรือ ฯลฯ ก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนจากที่ต่างๆ มาเฝ้ารอชมความงดงามและความยิ่งใหญ่ของขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ที่เป็นความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของชาติไทย ที่มีประเพณีอันงดงามและเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวต่างชาติ ขณะที่บรรยากาศโดยทั่วไปถือว่าเย็นสบายกว่าทุกวัน เนื่องจากท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆฝน และมีลมพัดมาเบาๆ

สุดปลาบปลื้มได้เฝ้าฯรับเสด็จ

ทั้งนี้ ประชาชนที่มารอเฝ้าฯ และรอชมที่จุดเฝ้าฯรับเสด็จ อัฒจันทร์อุทยานสถานพิมุข รพ.ศิริราช ที่มีคนมาเข้าแถวรอเข้าพื้นที่ริมน้ำนานกว่า 2 ชั่วโมง บางรายมายืนรอตั้งแต่ตี 4 เพื่อหวังได้ที่นั่งที่ดีที่สุด ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นบุญตามากที่ได้มาเห็นของจริง และอยากถวายพระพรในหลวงพระราชินี อาทิ คุณยายลำดวน เพชรอาวุธ อายุ 92 ปี ชาว อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช นั่งรถเข็นวีลแชร์มาพร้อมกับลูกสาว ระบุว่าติดตามเฝ้าฯ รับเสด็จอยู่หน้าทีวีมาโดยตลอด ครั้งนี้บอกกับลูกสาวว่าอยากขอมาดูขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ของจริงด้วยตาตัวเองสักครั้ง และขอให้ในหลวงทรงพระเจริญและอยากบอกพระองค์ว่ารักมาก จึงได้มาเฝ้าฯรับเสด็จถึงที่นี่ เช่นเดียวกับ ด.ญ.มีตังมารมย์ อายุ 4 ปี เดินทางมากับปู่และย่า จาก อ.เมือง สมุทรสาคร มารอรับเสด็จที่บริเวณท่าเรือท่าเตียน กล่าวว่ารู้จักในหลวงและพระราชินีจากในโทรทัศน์ เห็นทั้ง 2 พระองค์ทำงานหนักเพื่อคนไทย หนูรัก 2 พระองค์มาก คอยติดตามข่าวตลอด และคุณปู่มาเฝ้าฯรับเสด็จในหลวง เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หนูก็มาด้วย ก็ปลื้มใจมาก และในครั้งนี้ตั้งใจมากที่จะมาเห็นทั้ง 2 พระองค์ในเรือพระราชพิธี และอยากดูขบวนเรือในครั้งนี้ จะจดจำตลอดชีวิต และจะรักในหลวงและพระราชินีตลอดไป

ร่มรื่นเพราะพระบารมีล้นเกล้า

ส่วนที่บริเวณริมน้ำ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในแต่ละจุดที่เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เคลื่อนผ่าน ทุกคนต่างพากันเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องและต่างตื่นตาตื่นใจกับขบวนเรือโดยเฉพาะเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ คือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช ที่ลอยลำงามสง่ากลางลำน้ำเจ้าพระยา กอปรกับเสียงขับร้องกาพย์เห่เรืออันไพเราะดังก้องไปทั่วคุ้งน้ำ ขณะที่ท้องฟ้าซึ่งมีแดดเปรี้ยงมาครึ่งค่อนวันกลับมีเมฆเคลื่อนบังแสงอาทิตย์ในช่วงเคลื่อนขบวนเรือ ทำให้อากาศเย็นสบายมีสายลมพัดตลอดเวลา ทำให้หลายคนถึงกับยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวด้วยเชื่อว่าเป็นเพราะพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และหลังจากขบวนเรือลำสุดท้ายเคลื่อนผ่าน ทุกคนพร้อมใจปรบมือดังกึกก้อง เพราะนอกจากจะได้เฝ้า รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี สมดังตั้งใจแล้ว ยังได้สัมผัสความงดงามของริ้วขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของชาติและมีเพียงแห่งเดียวในโลก

ต่างชาติสุดทึ่งวัฒนธรรมไทย

ด้านนายเคืองแสน เฮงยศมาก อายุ 82 ปี ชาวบ้านจาก อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ที่เดินทางมาพร้อมภรรยา คือนางชุงฮวย เฮงยศมาก อายุ 75 ปี กล่าวว่าตั้งใจมาเฝ้ารับเสด็จฯและดูขบวนเรือพระที่นั่งวันนี้ท้องฟ้าเปิด แดดจ้าตั้งแต่เช้า พอขบวนเรือเริ่มเคลื่อนท้องฟ้าที่แดดจ้าเริ่มมีเมฆเคลื่อนบังจนอากาศร่มเย็นลมพัดเอื่อยๆ ไม่ร้อน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 10 และเป็นความยิ่งใหญ่ที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เป็นโอกาสที่หาได้ยากมากและไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่ตื่นตาตื่นใจในความงดงามของขบวนเรือ ชาวต่างชาติที่มาเฝ้าชมก็รู้สึก ทึ่งกับวัฒนธรรมเก่าแก่ของบ้านเรา เช่นเดียวกับ นางพะเยาว์ สิงห์ใส อายุ 76 ปี ชาวบ้านจาก ต.โคกสูง อ.เมืองนครราชสีมา กล่าวว่า ตนอายุมากขึ้นทุกวัน อยากแสดงให้ลูกหลานเห็นถึงความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ ถ้ามีโอกาสอยากจะมาทุกครั้ง อยากเห็นขบวนเรือเพราะสวยงามมาก โดยเฉพาะเรือพระที่นั่ง เห็นไกลๆ มองไม่ชัด แต่อยากเห็นด้วยตาตัวเองมากกว่าดูจากโทรทัศน์

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่