ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเป็นเจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ ผู้ทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติพระกรณียกิจนานัปการเพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งการส่งเสริมและพัฒนางานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ การแพทย์ และการสาธารณสุข ตลอดจนการสนับสนุนงานทางวิชาการ ที่มุ่งนำความก้าวหน้าวิทยาการสมัยใหม่ระดับสากล เพื่อผลิต และพัฒนาบุคลากรระดับสูงด้านวิทยาศาสตร์ อันนำไปสู่เป้าหมายของการพัฒนาประเทศ คือ “คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น…ของปวงชนชาวไทย”

ด้วยพระปรีชาสามารถและพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลในการวางรากฐานของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน จึงนำไปสู่การก่อตั้ง “มูลนิธิจุฬาภรณ์” ขึ้น เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2529 เพื่อดำเนินกิจกรรมช่วยเหลือประชาชน ผู้เจ็บป่วยที่ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสทั่วประเทศ ทั้งในด้านการแพทย์ การสาธารณสุข การสร้างโอกาสทางการศึกษา รวมถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือวิกฤติโรคระบาดอย่างทั่วถึง ต่อมา มีพระดำริให้ก่อตั้ง “สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์” ขึ้น เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2530 โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ “การนำวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” เพื่อเป็นศูนย์กลางความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์ไทยและต่างประเทศในการดำเนินงานวิจัยทั้งพื้นฐานและประยุกต์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติอย่างยิ่ง

และเมื่อ “โรคมะเร็ง” ได้กลายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากที่สุดของประชาชนชาวไทย พระองค์จึงทรงอุทิศพระองค์เพื่อการต่อต้านโรคมะเร็งอย่างครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาค้นคว้าวิจัยสาเหตุและกลไกของการเกิดโรค การบำบัดรักษา การป้องกันโรค และการให้บริการรักษาพยาบาล ตลอดจนการพระราชทานองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ “ทูลกระหม่อมอาจารย์” แก่เหล่านิสิตและนักศึกษา รวมถึงบุคลากรในสาขาการแพทย์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยทรงมุ่งหวังให้ผู้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้ ตลอดจนทรงสนับสนุนการศึกษาวิจัยและการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ตลอดจนทรงสนับสนุนการศึกษาวิจัยและการรักษาโรคมะเร็งในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยทรงติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการศึกษาวิจัยมะเร็งตับ และท่อน้ำดีในประเทศไทย ในพระดำริ ภายใต้ชื่อโครงการ Thailand’s Initiative in Genomics and Expression Research for LiverCancer (TIGER-LC) อย่างสม่ำเสมอ ด้วยทรงห่วงใยประชาชนที่ป่วย จากโรคมะเร็งตับและท่อน้ำดี ซึ่งเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบมากที่สุดของประเทศไทย และมีอัตราการเสียชีวิตไม่น้อยกว่าปีละ 15,000 ราย ในพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูง โดยทรงเห็นถึงความเร่งด่วน ที่จำเป็นต้องดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อหาแนวทางป้องกันวินิจฉัยและรักษาผู้ป่วยให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขต่อไป ภายใต้ความร่วมมือของนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute-NCI,USA)

นอกจากนี้ ทรงตระหนักถึงความสำคัญที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางยาทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาโรค โดยเฉพาะยารักษา “โรคมะเร็ง” จึงทรงแสวงหาความร่วมมือกับสถาบันชั้นนำของโลกเพื่อการพัฒนายาชีววัตถุ พร้อมทรงริเริ่มและทรงวางรากฐานการวิจัยและพัฒนายาชีววัตถุในประเทศ ภายใต้ โครงการ “ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ” (Center for Biologics Research and Development-CBRD) โดยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การวิจัยเพื่อคิดค้นและพัฒนายาชีววัตถุที่ได้มาตรฐานทัดเทียมในระดับสากล ที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุคล้ายคลึง “Trastuzumab” ที่ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมด้านยาชีววัตถุชิ้นแรกของประเทศโดยนักวิจัยไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยไม่ต้องอาศัยการซื้อหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

และเมื่อประเทศไทยต้องรับมือวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในฐานะที่ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์ทั้งด้านเคมีและด้านวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ จึงทรงริเริ่มดำเนินโครงการวิจัยเพื่อพัฒนายาที่มีศักยภาพในการรักษาโรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน จนประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีการสังเคราะห์ตัวยา “โมลนูพิราเวียร์” (Molnupiravir) สำหรับรักษาโรคโควิด-19 ด้วยวิธีการสังเคราะห์ 2 วิธี คือ การใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว (Chemical Route) และการใช้เอนไซม์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (Enzymatic Route) ซึ่งได้นำไปสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อการพัฒนายาระหว่างสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความร่วมมือในการนำผลงานวิจัยไปพัฒนาต่อในระดับการผลิตให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ที่สามารถขับเคลื่อนการผลิตตัวยาให้ประชาชนใช้ในประเทศตามพระปณิธานฯ ในการพัฒนางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ จนนำไปสู่การป้องกัน และรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านสาธารณสุขของประเทศ จึงนับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจอันเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างต่อเนื่องเสมอมา

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชนมายุ 66 พรรษา ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 ขอน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้าแก่ปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน.