“...เหตุที่ชอบการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนนั้น เห็นจะเป็นเพราะความเคยชินตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ก็เห็นพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรี นครินทราบรมราชชนนี ทรงคิดหาวิธีการต่างๆที่จะยกฐานะความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น...ได้ตามเสด็จฯไปเห็นความทุกข์ยากลำบากของพี่น้องเพื่อนร่วมชาติก็คิดว่าช่วยอะไรได้ควรช่วย ไม่ควรนิ่งดูดาย เมื่อโตขึ้นพอมีแรงทำอะไรก็ทำไปอย่างอัตโนมัติ โดยทำตามพระราชกระแส หรือทำตามแนวพระราชดำริ การช่วยเหลือประชาชนเป็นหน้าที่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องทำประจำอยู่แล้ว...การรู้หนังสือเป็นความจำเป็นสำหรับทุกชาติที่กำลังพัฒนา ตลอดจนเป็นกิจกรรมที่ต้องร่วมมือกันส่งเสริมให้บรรลุผลให้ได้ ถ้าปราศจากพื้นฐานการรู้หนังสือของประชาชนในประเทศแล้ว ความพยายามในการดำเนินการพัฒนาคงไร้ผล การรู้หนังสือเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการที่จะนำไปสู่จุดมุ่งหมายอันสูงสุด...” พระราชดำรัสดังกล่าวของ “สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม บรมราชกุมารี” สะท้อนได้ดีถึงพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่ทรงอุทิศพระองค์เพื่อแบ่งเบาพระราชภารกิจของ “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ในการพัฒนาช่วยเหลือประชาชนให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งตัวเองตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง


ทรงถือเป็นต้นแบบของนักพัฒนาที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยทรงยึดหลักว่าการพัฒนาต้องเหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ เชื้อชาติ วัฒนธรรมท้องถิ่น คติความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม ที่สำคัญคือนักพัฒนาที่ดีต้องมีความรัก ความห่วงใย ความรับผิดชอบ และความเคารพในเพื่อนมนุษย์ มีพระราชดำริว่าในการพัฒนาเรื่องใดๆก็ตาม จำเป็นต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชน ซึ่งทรงใส่พระราชหฤทัยยิ่ง


“...แวดวงชีวิตของฉันแต่ไหนแต่ไรมา มีอยู่สองประการคือ วงการวิชาการ แวดวงของครูบาอาจารย์ผู้รู้ในสาขาวิชาต่างๆ ทั้งในสายศิลปวัฒนธรรมและเทคโนโลยีกับอีกวงการ คือเรื่องของการพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้า งานที่เห็นพ่อแม่ทำมาตลอด ตั้งแต่รู้ความคือ การทำให้ผืนแผ่นดินและทุกคนในแผ่นดินมีความเจริญรุ่งเรือง เน้นหนักในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่มีความทุกข์ยาก เราคลุกคลีอยู่กับผู้ที่ลำบากยากแค้น หาทางบรรเทาความเดือดร้อนของคน...” เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงความเป็นเจ้าฟ้าหญิงนักพัฒนาเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

โครงการแรกที่ทรงริเริ่มในปี 2523 หลังสำเร็จการศึกษาจากรั้วจุฬาฯ เป็นโครงการที่ทรงทำในโรงเรียน ทรงเริ่มต้นด้วยโครงการอาหารกลางวัน ผักสวนครัว ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 3 แห่ง ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ราชบุรี และกาญจนบุรี โดยทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ โครงการดังกล่าวเป็นการสอนให้นักเรียนทำการเกษตรเพื่อนำมาประกอบเป็นอาหารกลางวัน ต่อมาได้ขยายเป็นโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ครอบคลุมกว่า 700 โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ และมีขอบข่ายการพัฒนาครบทุกด้าน ทั้งการศึกษา สุขภาพอนามัย สาธารณสุขวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการสร้างงานสร้างอาชีพ โดยโรงเรียนจะเป็นศูนย์กลางของชุมชนในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยให้ดีขึ้น

ทุกครั้งเมื่อเสด็จเยี่ยมโรงเรียนตามท้องถิ่นทุรกันดาร ไม่ได้ทรงเยี่ยมราษฎรเท่านั้น แต่ทรงเป็นนักพัฒนาการศึกษาเต็มพระองค์ ทรงผสมผสานการศึกษากับการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างกลมกลืน โดยทรงตั้งข้อสังเกตว่า “เมื่อไปตามโรงเรียน ไม่ว่าประถม หรือมัธยม ก็ต้องพยายามไปดูว่านักเรียนได้รับอาหารที่พอสมควรถูกต้องหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกต้อง ไม่มีอะไรบำรุงสมองก็ไม่มีแรง ทำให้ศึกษาได้ไม่ดี”

ด้วยความที่ทรงให้ความสำคัญแก่เด็กและเยาวชนทุกกลุ่มทุกวัย จึงโปรดเกล้าฯให้จัดทำโครงการต่างๆเกื้อหนุนการศึกษาของเด็กและเยาวชนในทุกวัย นอกจากนี้ ยังใส่พระทัยเรื่องคุณภาพและปริมาณของครูในโรงเรียนขนาดเล็กในชนบท ดังจะเห็นได้จากโครงการระบบอี-เลิร์นนิ่งของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม และการจัดอบรมครูให้ใช้ไอซีที ตลอดจนการทำโครงงานในการเรียนการสอน

เป็นที่ทราบกันดีว่า พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งด้านการศึกษา ทรงริเริ่มการทรงงานในโครงการต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม และทรงดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด จนแนวพระราชดำริต่างๆเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ อีกทั้งทรงได้รับการยกย่องเฉลิมพระเกียรติคุณจากหลายองค์การในระดับนานาชาติว่า ทรงเป็นผู้นำและผู้รู้จริงจากการปฏิบัติในการพัฒนาการศึกษาให้ถ้วนทั่วแก่ทุกกลุ่มชนในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงผู้ด้อยโอกาสทุกกลุ่ม สอดคล้องกับเป้าหมายของยูเนสโกเรื่อง “การศึกษาเพื่อทุกคน” หรือ “Education for All”

ผลจากความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทยอย่างยั่งยืน ยังกลายเป็นต้นแบบให้ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ได้น้อมนำแนวพระราชดำริดังกล่าวไปเป็นโรลโมเดลในการพัฒนาการศึกษาในประเทศด้วย

พระราชกรณียกิจนานัปการในด้านการศึกษาถือเป็นแบบอย่างของการพัฒนาการศึกษาไทยแก่ผู้ด้อยโอกาส โดยไม่คำนึงถึงชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ผู้พิการ ผู้ลี้ภัย ผู้ต้องโทษคุมขัง หรือเด็กป่วยเรื้อรัง ก็ล้วนแต่ได้รับพระกรุณาธิคุณเสมอกัน

เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันที่ 2 เมษายน ศกนี้ ขอน้อมเกล้าฯถวายพระพรให้ทรงพระเกษมสำราญ และทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ทีมข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ