พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ไปทรงเปิดอาคารที่ทำการศาลฎีกา แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 7 ธันวาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดําเนินไปทรงเปิดอาคารที่ทําการศาลฎีกา เลขที่ 6 ถนนราชดําเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีนางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา คณะรองประธานศาลฎีกา นายพงษ์เดช วานิชกิตติกูล ปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งเลขาธิการสํานักงาน ศาลยุติธรรม พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายตุลาการในศาลฎีกาเฝ้ารับเสด็จ
คร้ันเมื่อเสด็จเข้าพลับพลาพิธี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชา พระพุทธยุติธรรมโลกนาถ ทรงกราบ แล้วทรงศีล
จากนั้น นายดิเรก อิงคนินันท์ และ นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือที่ระลึก
ประธานศาลฎีกา กราบบังคมทูลรายงานและเชิญเสด็จฯ ไปยังแท่นประกอบพิธีเปิดอาคารศาลฎีกา ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเปิดแพรคลุมป้ายอาคารศาลฎีกา แล้วเสด็จเข้าพลับพลาพิธี ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมถวายพระสงฆ์ และทรงหลั่งทักษิโณทก ข้าราชการตุลาการในศาลฎีกา 120 ราย เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานของที่ระลึก แล้วประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงลงพระนามาภิไธยบนแผ่นศิลา
เมื่อเสร็จพิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ครุยตุลาการศาลยุติธรรม เสด็จฯ ยังห้องประชุมใหญ่ศาลฎีกา พระราชทานพระบรมราชวโรกาส ให้คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และพระราชทานพระราชดํารัสแก่ผู้พิพากษา ศาลฎีกา แล้วทรงพระดําเนินไปยังอาคารศาลยุติธรรม พระราชทานพระบรมราชานุญาตฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และข้าราชการฝ่ายตุลาการในศาลฎีกา แล้วเสด็จฯ ไปทรงวางพานพุ่มดอกไม้ จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายสักการะ พระอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย ที่ด้านหน้าอาคารศาลยุติธรรม
จากนั้นเสด็จพระราชดําเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
อาคารศาลฎีกานี้เป็นอาคารที่ก่อสร้างใหม่บนที่ดินที่เคยเป็นที่ทําการของศาลฎีกาหลังเดิม แต่เนื่องจากอาคารเดิมชํารุดทรุดโทรมตามกาลเวลา เกินกว่าที่จะบูรณะซ่อมแซมและใช้งาน ประกอบกับศาลฎีกามีจํานวนคดีเข้าสู่การพิจารณาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ต้องเพิ่มจํานวนบุคลากรให้เพียงพอต่อปริมาณคดี จึงได้รื้ออาคารหลังเดิมแล้วดําเนินโครงการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมาทดแทน พร้อมกับการขยายพื้นที่ใช้สอย เริ่มการก่อสร้างเมื่อปลายปี 2555 จนแล้วเสร็จเมื่อต้นปี 2562 เป็นอาคาร สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ขนาด 5 ชั้น สีขาวทั้งหลัง ศาลฎีกาเข้าทําการในอาคารหลังนี้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2562 ที่ชั้น 5 มีพระพุทธยุติธรรมโลกนาถ องค์ครุฑและตราแผ่นดินประดิษฐานอยู่ ด้านทิศเหนือส่วนด้านทิศใต้เป็นที่ประดิษฐาน ‘พระพุทธโคดมบรมมุนีเจ้าปกเกล้าศรีตลุาการ’ อันเป็นที่เคารพสักการะของเหล่าตุลาการ พื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร ประกอบด้วย ห้องพิจารณาขนาดใหญ่ 1 ห้อง ขนาดกลาง 2 ห้อง ขนาดเล็ก 2 ห้อง และห้องทํางานผู้พิพากษา 225 ห้อง
ส่วนอาคารอีกหลังเป็นที่ตั้งของ อาคารศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น ยุคแรกเริ่มในประเทศไทย ด้านหน้าอาคารเป็นบริเวณที่ประดิษฐานของพระอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทย อาคารนี้ห้อง ทํางาน 24 ห้อง ระหว่างพื้นที่ของอาคารศาลฎีกาและอาคารศาลยุติธรรมเป็นสวนหย่อมที่สวยงาม นอกจากนี้ ยังได้นํา ‘อินทภาษและบุษบก’ ซึ่งสร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 มาตั้งไว้ที่บริเวณโถงด้านหน้า อาคารศาลฎีกา
ศาลฎีกา เป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุด มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย บัญญัติให้เสนอต่อศาลฎีกาได้โดยตรง อาทิ คดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง การวินิจฉัยคดี เลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว.ที่ไม่เป็นไปโดยสุจริต และอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์หรอฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลชั้นต้น-ศาลอุทธรณ์-ศาลอุทธรณ์ภาค โดยคําสั่งหรือคําพิพากษาของศาลฎีกานั้น จะถือที่เป็นสุด นอกจากนี้ยังมีภารกิจตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นบัญญัติไว้ เช่น การเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เพื่อไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และการเลือกบุคคลผู้สมควร ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง
ศาลฎีกา เป็นศาลสูงสุดของประเทศ มีประธานศาลฎีกาเป็นผู้รับผิดชอบราชการศาล ทําการบริหารศาลฎีกา ร่วมกับรองประธานศาลฎีกา 6 คน และประธานแผนกคดีต่างๆ อีก 11 คน ที่ผ่านมา ศาลฎีกาได้พัฒนากิจการด้านต่างๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับทั้งใน ประเทศและนานาชาติ และให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว.
