"ออมสิน" ยันสางปมเงินทอนวัดจบเร็วสุด บนความรอบคอบ เตรียมจูง ผอ.สำนักพุทธฯ ถกร่วม มหาเถรฯ 12 ก.ค.นี้ ที่พุทธมณฑล พ่วงถกทำบัตรสมาร์ทการ์ดพระแทนใบสุทธิ...
เมื่อวันที่ 9 ก.ค.60 นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มอบหมายให้ตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณะและปฏิสังขรณ์วัดว่า ขณะนี้กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปปป.ตร.) กำลังดำเนินการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนได้ดำเนินการในส่วนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้อยู่ในร่องในรอยกรอบการทำงาน และเพื่อให้การดำเนินการสอบสวนของตำรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อ
นอกจากนี้จะได้หารือถึงความคืบหน้ากับ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อีกครั้งในวันที่ 12 ก.ค.นี้ ในการประชุมร่วมกับกรรมการมหาเถรสมาคม 3 รูป ได้แก่ พระพรหมโมลี เจ้าคณะภาค 5 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ, พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก, พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่พุทธมณฑล
ทั้งนี้ตนต้องการเห็นการทำงานนี้ทำด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว และรัดกุม แต่ที่สำคัญคือต้องการให้ดำเนินการอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะเรื่องการเข้าค้นวัด เพราะไม่ต้องการให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก ทั้งนี้เรื่องการปราบปรามทุจริตถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีเข้มงวดและกำชับมาตรการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันเสมอ แต่ขณะนี้ผลการตรวจสอบยังไม่ออกมาเลยว่าใครผิดใครถูก แต่เหมือนกับว่าสังคมได้พิพากษาไปเรียบร้อยแล้วว่าใครผิด สุดท้ายแล้วพระอาจจะไม่ได้ผิด แต่เป็นฝ่ายฆราวาสผิดก็ได้ อันนี้เรายังไม่รู้ผล
...
นายออมสิน กล่าวต่อว่า ตนกำชับ ผอ.พศ.ไปแล้วว่า เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงทุจริตภายในสำนักพุทธนั้นจะต้องทำอย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องรอผลการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่อย่างใด เราสามารถดำเนินการคู่ขนานไปพร้อมกันได้ทั้งหมด ไม่ต้องมัวไปนั่งรอคนนั้นคนนี้ เมื่อ พศ.สอบข้อเท็จจริงเสร็จแล้วหากจะต้องสอบวินัยก็ให้รีบดำเนินการ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และตนกำชับว่าให้ทำรวดเร็ว รอบคอบ รัดกุม
นอกจากนี้จะได้หารือเรื่องการจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ดพระ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด ซึ่งทางมหาเถรสมาคม (มส.) เคยมีการพูดคุยเรื่องสมาร์ทการ์ดดังกล่าวแล้ว เพียงแต่เงียบไป ซึ่งตรงกับที่ตนเองจุดประเด็นขึ้นมา กลายเป็นเรื่องดี และที่สำคัญทราบว่าขณะนี้พระสงฆ์มีบัตรประจำตัวประชาชนที่กระทรวงมหาดไทยดำเนินการทำอยู่ โดยถ่ายรูปพระและมีเลขประจำตัว 13 หลักเหมือนกัน จึงเป็นเรื่องที่เพราะถ้ามีอยู่แล้วก็จะสามารถช่วยทุ่นงบประมาณไปได้ โดยจะเพิ่มเติมเป็นการแยกฐานข้อมูลเข้าไป นอกเหนือจากที่มีระบุในบัตรประชาชน อาทิ อายุ หมู่โลหิต ก็จะเพิ่มข้อมูลพระคือ บวชที่ไหน จำวัดที่ไหน บวชมานานกี่พรรษา ขณะนี้สมณศักดิ์เป็นอย่างไร หากมีบัตรสมาร์ทการ์ดพระออกมาใช้ จะช่วยลดคดีประเภทหนีมาบวชได้ด้วย
อย่างไรก็ตามขณะนี้เท่าที่ทราบพระสงฆ์ทำบัตรประจำตัวประชาชนกับทางกระทรวงมหาดไทยจำนวนน้อย เราจึงต้องเริ่มดำเนินการ เมื่อเรื่องนี้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว หากผ่านความเห็นชอบของ มส. ก็จะได้ไปจัดทำโครงการและเสนอของบประมาณจากที่ประชุม ครม.ในเร็วๆ นี้.