“สมชัย” แฉด้านมืดข้ออ้าง ปฏิรูปเลือกตั้ง สนช.สนองจุดหมายการเมืองของ คสช. ตีตราบาปเซ็ตซีโร่เหมาเข่ง ไม่ต่างอะไรกับยุคเสียงข้างมากในสภาดันนิรโทษฯสุดซอย ประธาน กกต.ไม่ยึดติดหัวโขน ไม่ให้ทำหน้าที่ก็กลับบ้าน สนช. สวนมโนไปไกล ไล่ส่งทบทวนตัวเองหย่อนยาน-ขัดแย้งกันเองหรือเปล่า “อังคณา” ไม่ติดใจ กสม.ส่อโดนเชือด ตีกันรักษาการยาวหลังเลือกตั้ง รอผู้นำฝ่ายค้านร่วมสรรหา เด็ก ปชป.เฉ่งเข้าทางพวกอยากอยู่ยาว “นิพิฏฐ์” เหน็บเคลียร์สังคมไม่ได้ คสช.หนีไม่พ้นครหาครอบงำ กกต.ชุดใหม่เพื่อสืบทอดอำนาจ “จาตุรนต์” บี้รีเซ็ตองค์กรอิสระใหม่หมดไม่เว้นศาล รธน. อนุกรรมการ กกต.ลับดาบเรียก 9 รมต.แจงปมถือหุ้น ชี้ 8 รมต.เสี่ยงโดนส่งศาล รธน.สอย “วิษณุ” พ้นบ่วงข้อกล่าวหายังไม่ชัดเจน

หลังจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยให้เซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งคณะไปแล้ว แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังตามมาไม่หยุดทั้งจากฝ่ายการเมืองและนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลางที่เปรียบเปรยมติของ สนช.ในครั้งนี้เหมือนการสร้างตราบาป ไม่ต่างกับกรณีที่เสียงข้างมากในสภาฯในอดีต พยายามผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย

ประธาน กกต.ลั่นไม่ยึดติดหัวโขน

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.นายศุภชัย สมเจริญ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกรรมการการเลือกตั้งโดยมีเนื้อหาให้เซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งคณะว่า กกต.ชุดนี้จะทำหน้าที่รักษาการเพื่อส่งมอบงานให้ กกต.ชุดใหม่ที่จะเข้ามาหลังจากกฎหมายประกาศใช้ และสรรหาภายใน 90 วัน ถือว่าตอนนั้นเสร็จสิ้นภาระหน้าที่ ส่วนประเด็นโต้แย้งต้องดูว่ามีประเด็นอะไรที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่คิดว่าโต้แย้งไปคงไม่มีประโยชน์ ไม่อยากขัดขืน กฎหมายออกมาเราต้องปฏิบัติตาม เพราะเสียงส่วนใหญ่ของ สนช.เห็นด้วยกับ กมธ.ให้เซ็ตซีโร่แล้วจะทำอย่างไรได้ เขาให้ทำงานก็ทำ ไม่ให้ทำก็กลับบ้าน ไม่ได้รู้สึกตกใจหรือเสียใจเพราะทำใจไว้แล้ว เขาไม่ให้ทำหน้าที่เราต้องไป เขามีเหตุผลในการไม่เอาเราเขาอยากได้คนใหม่ทั้งหมด ช่วงนี้คงทำงานไปเรื่อยๆ อย่าไปติดยึดกับตำแหน่งหน้าที่หัวโขนทั้งนั้น ไม่ไปวันนี้ต้องไปวันหน้า ก็ได้พักผ่อน ไปทำอะไรที่อยากจะทำ

...

“สมชัย” แฉด้านมืดอ้างปฏิรูปเลือกตั้ง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ด้านมืดของการปฏิรูปการเลือกตั้ง เราอาจเคลิบเคลิ้มกับด้านสว่างเจิดจรัสของการปฏิรูปการเลือกตั้ง ด้วยการกำหนดคุณสมบัติที่เข้มขึ้นของผู้มาทำหน้าที่เป็น กกต. สร้างทีม กกต.ใหม่ที่เป็นปลาน้ำเดียว ภายใต้ข้ออ้างการมีโครงสร้างใหม่ และวลี “หากต้องการปฏิรูปต้องมีคนเจ็บบ้าง” โดยหวังว่า กกต.ใหม่ที่มาจะเป็นกลาง มีความกล้าหาญ จริงจังกับหน้าที่ และทำให้การเลือกตั้งมีผลเป็นที่ยอมรับ ลดความขัดแย้งในสังคมและเป็นทางออกของประเทศ อีกด้านหนึ่งที่อาจต้องเตรียมใจและเตรียมสู้ของฝ่ายประชาชน คือ กลไกการสรรหา กกต.ใหม่ มิใช่การสรรหาภายใต้ภาวะปกติของการมีสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากประชาชน แต่เป็น สนช.ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะผู้มีอำนาจ ซึ่งไม่ว่ากรรมการสรรหาจะเสนอชื่อใครมา สนช.ที่ปฏิบัติหน้าที่วุฒิสภา อาจส่งคืนให้ไปสรรหามาใหม่จนกว่าจะเป็นที่พอใจ

โวยตีตราบาปไม่ต่างนิรโทษฯสุดซอย

นายสมชัยระบุอีกว่า หาก คสช.คือคณะบุคคลที่เข้ามากอบกู้บ้านเมืองในยามวิกฤติและพร้อมวางตัวเป็นกลางในการเลือกตั้งคงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีจุดหมายทางการเมืองในอนาคต และมี ส่วนได้ส่วนเสียหากพรรคใดแพ้พรรคใดชนะ ปณิธานอันเจิดจรัสของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และการลงมติของ สนช.ในการเซ็ตซีโร่ กกต.คือตราบาปสำคัญกับการเมืองไทย ที่ไม่ต่างอะไรกับการลงมตินิรโทษฯสุดซอย ที่อาศัยอำนาจและเสียงข้างมากที่ฝ่ายตนมีกระทำการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน

“ตวง” โต้อย่าโยงมั่วยันคิดรอบคอบแล้ว

นายตวง อันทะไชย ประธานกรรมาธิการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง สนช. กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ระบุการที่ สนช.ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. กกต.ไม่ต่างอะไรจากการนิรโทษกรรมสุดซอยว่า ไม่อยากไปตอบโต้นายสมชัย เพราะถือว่าการทำหน้าที่ของ กมธ.เสร็จสิ้นแล้ว นายสมชัยจะพูดอะไรปล่อยให้เขาพูดไป แต่ยืนยันว่า กมธ.ดำเนินการทุกอย่างรอบคอบ ยึดผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง และสิ่งที่ สนช.ลงมติเป็นคนละเรื่องกับการนิรโทษกรรมสุดซอย ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เรื่องนี้ขอให้สังคมเป็นผู้ตัดสินเองดีที่สุด และขอยืนยันว่าการเซ็ตซีโร่ กกต.นั้น กมธ.พิจารณาอย่างรอบด้านแล้วว่าไม่ได้ขัดกับหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560

สวนมโนเกินไล่ส่งทบทวนตัวเอง

นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารกลาง โพสต์เฟซบุ๊กระบุมติ สนช.ให้เซ็ตซีโร่ กกต.เป็นตราบาปการเมืองไทย ไม่ต่างจากนิรโทษกรรมสุดซอยว่า ไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องนิรโทษกรรม กระบวนการโหวตของ สนช.มีใครกระทำผิดอะไรเกิดขึ้นเเบบนั้นหรือ องค์กรอิสระอย่าง กกต.บางทีก็พูดแรงไป สนช.ทำแบบเปิดเผย มีถ่ายทอดสดให้เห็น มีขั้นตอนตั้ง กมธ.ถกเถียงทั้งเสียงข้างมากข้างน้อย ไม่มีวางแผนล่วงหน้า ที่จริง กกต.เองควรปฏิรูปตนเอง แนวคิดส่วนบุคคลในองค์กรมีปัญหา กรธ.ร่างกฎหมายลูกมาค้านตลอด โดยเฉพาะเรื่อง กกต.จังหวัดเดิมกับแนวคิดให้มีผู้ตรวจการเลือกตั้ง ก็จะเอาแบบเดิมคงไว้ทั้งที่รู้ว่ามีปัญหา ถ้า กกต.รับกฎหมายใหม่ไม่ได้ ก็ไม่ควรจะอยู่ต่อภายใต้ กฎหมายใหม่ตนว่าดีแล้ว ส่วนที่นายสมชัยบอกว่าสนช.เแต่งตั้งมาโดยผู้มีอำนาจ ไม่ว่ากรรมการสรรหา กกต.ใหม่จะส่งรายชื่อใครมา สนช.อาจส่งคืนให้สรรหากันใหม่จนกว่าจะพอใจนั้น คิดไกลเกินเหตุจินตนาการลึกล้ำ มโนเกินไป กกต.กลับไปทบทวนตัวเองดีกว่า ที่ผ่านมามีปัญหาการทำงานหย่อนยานหรือไม่ ขัดแย้งกันเองในองค์กรหรือไม่

สปท.ให้โชว์สปิริตนึกถึงส่วนรวม

พล.อ.ฐิติวัจน์ กำลังเอก สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ด้านการเมือง กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยัง กกต.ให้แสดงสปิริต เคารพรวมถึงปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หลังจากออกมาระบุความเห็นไม่พอใจที่ สนช.ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. ที่มีประเด็นรีเซ็ต กกต.ชุดปัจจุบัน เพื่อประเทศชาติของเราขอให้ร่วมมือกัน เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่แล้วขอให้ปฏิบัติตามนั้น อย่าอ้างกฎหมายเข้าข้างตัวเองหรือคำนึงถึงประโยชน์ส่วนตัว หากยึดคำว่าคุณธรรมนำหน้าจะไม่เกิดปัญหา เพราะหาก กกต.ยังคงโต้แย้ง ต้องยื้อเวลาไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน ยกตัวอย่างว่าปีหน้าตนจะเกษียณอายุราชการตามกฎหมาย แต่ดื้อดึงไม่ยอมเพราะมองว่ายังแข็งแรงอยู่ก็ไม่ดี การทำงานที่ผ่านมาขอให้คิดด้วยว่ายังมีคนอื่นที่สามารถทำงานแทน ทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้เช่นกัน

“วัชระ” เฉ่งเข้าทางพวกอยากอยู่ยาว

นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณี สนช.ลงมติเซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งชุดด้วยคะแนน 161 ต่อ 15 ว่า เป็นไปตามที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เคยบอกไว้ว่าเขาอยากอยู่ยาว และเป็นไปตามสุภาษิตกฎหมายที่บอกว่าชนชั้นใดเขียนกฎหมายแน่ไซร้เพื่อชนชั้นนั้น เป็นไปตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งที่บอกว่าให้ระวังนักกฎหมายสายปีศาจ กกต.ชุดปัจจุบันที่มีคุณสมบัติครบตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไปรีเซ็ตได้อย่างไร สนช. ซึ่งทำหน้าที่แทน ส.ส. และ ส.ว.ใช้อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญหรือไม่ เข้าข่ายประพฤติมิชอบหรือไม่ เรื่องคงไม่ได้จบกันเพียงแค่วันนี้ แม้ว่าแม่น้ำ 5 สายจะมีอำนาจล้นฟ้า แต่การใช้อำนาจเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นการละเมิดหลักนิติรัฐนิติธรรม กฎแห่งกรรมและอาจเข้าข่ายประพฤติมิชอบได้

ซัดไม่ต่างกับทรราชเสียงข้างมาก

“ที่จริงแล้วในสำนักงาน กกต. รัฐบาลควรกวาดล้างพวกค้าสำนวนเลือกตั้งให้เด็ดขาด เพราะในยุคสมัยประธาน กกต.ในอดีต ได้เพิ่มอัตรากำลังเป็นจำนวนมากเพื่อให้รับใช้ระบอบทักษิณ หากเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตพวกนั้นยังคงอยู่ก็ยากที่จะทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมได้ ส่วนการสรรหา กกต.ใหม่ 7 คนจากแม่น้ำ 5 สายนั้น คนที่มีอำนาจเขาต้องเตรียมตั้งคนของเขาเข้ามาเป็นอยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งเตรียมครบทั้ง 7 คน เรื่องนี้ต้องถึงศาลรัฐธรรมนูญแน่ แต่ไม่แน่ใจว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินวินิจฉัยไปแล้วจะได้รับการยอมรับจากแม่น้ำ 5 สายหรือไม่ เห็นชัดว่า กกต.บางคนไม่ได้รับความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญจาก สนช. เช่นนี้แล้วจะแตกต่างอะไรกับทรราชโดยเสียงข้างมาก เหมือนสมัยทักษิณ ยิ่งลักษณ์หรือไม่อย่างไร ขนาดประธานองค์กรอิสระซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตุลาการชั้นผู้ใหญ่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วจะหามาตรฐานความยุติธรรมในวันนี้ได้ที่ไหน” นายวัชระกล่าว

กกต.ใหม่ไม่พ้นครหาไม่เป็นกลาง

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่แปลกใจที่ สนช.จะเป็นสภาฝักถั่ว กดปุ่มสั่งได้ เหตุผลข้ออ้างที่ใช้เซ็ตซีโร่ กกต.ยังฟังไม่ขึ้น แม้คนจะคล้อยตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯเล่นโวหารพูดเบิกทางดักคอไม่ให้คนคิดต่อ ไม่ให้เกิดปัญญา เพราะจะฉลาดและควบคุมยาก เป็นปกติของคนที่อยู่ในอำนาจนิยม อ้างว่าไม่อยากให้มีสภาวะปลาสองน้ำ ต้องถามกลับว่า ปลาน้ำเดียวมีดีกว่าปลาสองน้ำอย่างไร ข้อเท็จจริงปลาสองน้ำราคาดีกว่าปลาน้ำเดียว แม้จะมีมติเซ็ตซีโร่ไปแล้วก็ยังไม่เห็นมีเหตุผลที่มีน้ำหนักชี้แจงตอบสังคมให้หายแคลงใจได้ เมื่อผลออกมาเช่นนี้สังคมจะครหาว่า กกต.ชุดใหม่จะถูกครอบงำจากผู้มีอำนาจ เพื่อรองรับการเลือกตั้งในอนาคต มองเป็นอื่นไม่ได้ว่าเพื่อสืบทอดอำนาจ เนื่องจากรัฐบาล คสช.เองไม่เคยพูดกับสังคมให้ชัดเจนว่า จะลงจากอำนาจ หรือไม่สืบต่ออำนาจแล้วเมื่อไหร่ อย่างไร กลับมีแต่ข้อครหาว่ามีการเตรียมพรรค เตรียมผู้สนับสนุนเพื่อการเข้าสู่ตำแหน่ง เช่น กรณี ส.ว.สรรหา 250 เสียง ที่สุดอนาคตจะเกิดปัญหาจากข้อครหาว่า กกต.ใหม่ไม่เป็นกลาง

เข้าตำราใช้อำนาจเกินจำเป็น

นายนิพิฏฐ์กล่าวอีกว่า “เมื่อกติกาใหม่ไม่เป็นกลาง และได้กรรมการที่ไม่เป็นกลาง ผู้เล่นผู้แข่งขันในเกมบางคนจะหมดกำลังใจ ก็จะเปลี่ยนใจหันมาร่วมอยู่ฝ่ายเดียว ไม่แข่งขันให้เหนื่อย โดยไปอยู่กับฝ่ายผู้มีอำนาจ เหมือนที่ตนเคยเปรียบว่า มีการวิ่งแข่ง 750 เมตร ฝ่ายผู้มีอำนาจไปเริ่มสตาร์ตที่จุด 250 เมตร แต่ผู้แข่งฝ่ายอื่นๆไปเริ่มที่จุดสตาร์ตเริ่มต้น การวิ่งแข่งชนะคนที่วิ่งจากจุด 250 เมตรก็ยากอยู่แล้ว ยิ่งเจอกรรมการไม่เป็นกลางอีก จะยิ่งไปกันใหญ่และไม่หวังว่าคนดูจะประท้วงผลว่าการแข่งขันไม่เป็นธรรม เพราะคนดูส่วนหนึ่งอยากให้ฝ่ายผู้มีอำนาจชนะอยู่แล้ว จะเข้าตำราการใช้อำนาจเกินความจำเป็น แม้การเซ็ตซีโร่ผู้มีอำนาจจะทำได้ แต่มีความจำเป็นเหมาะสมหรือไม่ เพราะรัฐที่ดีจะใช้อำนาจให้น้อยที่สุด แต่ที่เห็นกลับตรงกันข้ามคือใช้อำนาจเกินความจำเป็น และจะกระทบต่อสังคมเมื่อก้าวสู่ประชาธิปไตยแล้ว ระบบปกติจะบริหารแก้ไขปัญหายากมาก เพราะสังคมจะเสพติดการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโดยใช้อำนาจเบ็ดเสร็จไปแล้ว จะทำให้ระบบปกติพิกลพิการ สร้างปัญหาใหม่ไม่สิ้นสุด”นายนิพิฏฐ์กล่าว

พท.ห่วงเซ็ตซีโร่ก่อปัญหาทางปฏิบัติ

นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงรายพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณี สนช.มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้เซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งคณะว่า การเซ็ตซีโร่ กกต.ทั้งคณะเกรงว่าจะเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะการเลือกตั้งจะใกล้เข้ามา กว่า กกต.ที่ต้องสรรหามาใหม่จะเรียนรู้งานเกี่ยวกับการเลือกตั้ง วางระบบโครงสร้างอะไรต่างๆต้องใช้เวลา ทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือไม่ เพราะการจัดการเลือกตั้งไม่ใช่เรื่องง่าย กกต.ต้องประสานงานกับหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อดึงศักยภาพของเขามาช่วยกำกับการเลือกตั้ง ต้องรู้ระเบียบสำหรับการเลือกตั้ง ที่สำคัญต้องรู้ปัญหาแต่ละพื้นที่ซึ่งแตกต่างกัน ตอนนี้จะไม่มี กกต.จังหวัดคอยช่วยกำกับดูแลการเลือกตั้งแล้วให้ผู้ตรวจการเลือกตั้งมาทำหน้าที่แทน เขาจะรู้ปัญหาในพื้นที่หรือไม่

ยุ 5 เสือไขก๊อกถูกไล่แล้วอย่าทนอยู่

ด้านนายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเซ็ตซีโร่ กกต. ด้วยคะแนนท่วมท้นไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. เคยให้ความเห็นไว้แล้วว่าจะปฏิรูปต้องรับความเจ็บปวด และเห็นกันอยู่แล้วว่า สนช.คือใคร แต่สิ่งที่หลายคนสงสัยคือจะเอาเหตุนี้นำไปสู่การเลื่อนการเลือกตั้งหรือไม่ เป็นคำถามของคนจำนวนมาก ทำให้คนทั่วไปขาดความเชื่อมั่น รวมทั้งเกรงกันว่าการสรรหา กกต.ชุดใหม่ จะเป็นคนที่คณะผู้มีอำนาจสั่งการได้หรือไม่ เพราะการลงมติของ สนช.ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่าอยากได้อะไรก็ยกมือสนองตอบกันด้วยดี หากตนเป็น กกต.ชุดนี้คงต้องลาออก เพราะเขาไม่อยากให้อยู่แล้ว ไม่ต้องรอกฎหมายมีผลบังคับใช้ หรือรอตั้งกรรมาธิการร่วม ไม่ต้องไปรอพิสูจน์อะไรอีก เขาลงมติไล่แล้ว อย่าอยู่เลย

“อ๋อย” บี้รีเซ็ตองค์กรอิสระใหม่หมด

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรีและแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำให้ถูกต้องหลังจากนี้ คือต้องเซ็ตซีโร่องค์กรอิสระที่เหลืออยู่ทั้งหมด เหตุผลคือกรรมการองค์กรอิสระมาจากทั้งการสรรหาและการแต่งตั้ง โดยรัฐธรรมนูญปี 50 รัฐธรรมนูญชั่วคราว หรือตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สำคัญคือหลายองค์กรอิสระมีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน หากกรรมการในองค์กรที่อาศัยอำนาจ คสช.หรือรัฐบาลเข้ามายังทำหน้าที่อยู่ ทำให้ไม่อาจแน่ใจได้ว่าองค์กรเหล่านี้จะตรวจสอบ คสช.และรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เอื้ออำนวยต่อการสืบทอดอำนาจของ คสช. ดังนั้น เมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ มีการวางระบบกติกากำหนดกรรมการหรือหลักเกณฑ์การสรรหาและการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่แล้ว ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น ควรจัดให้มีการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการขององค์กรเหล่านี้ใหม่ทั้งหมดโดยเร็วที่สุด

เหมารวมยกกระบิไม่เว้นศาล รธน.

นายจาตุรนต์กล่าวว่า การจะให้มาดูคุณสมบัติ ดูการทำงานและความจำเป็น เท่ากับจงใจให้เกิดการใช้ดุลพินิจของผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติหรือการต่อรองของผู้มีอำนาจเอง องค์กรเหล่านี้จะเสียความน่าเชื่อถือ ไม่เป็นกลางและไม่เป็นอิสระ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญควรมีการเซ็ตซีโร่ด้วย เพราะเมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ถ้าศาลรัฐธรรมนูญจะยังคงอยู่ต่อไป ต้องวินิจฉัยการรัฐประหารไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อไม่ได้วินิจฉัย จึงถือว่าศาลรัฐธรรมนูญสูญเสียสถานะความเป็นศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรทำหน้าที่มาตั้งแต่รัฐประหารแล้ว และยิ่งมีรัฐธรรมนูญใหม่ ยิ่งต้องสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ โดยใช้หลักเกณฑ์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ได้คนใหม่มาทำหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ไม่ควรให้คณะบุคคลที่ล้มเหลวในการรักษาความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้วมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นปช. ฉะของจริง คสช.ต่อท่ออำนาจ

ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ว่า มติของ สนช.ดังกล่าวเป็นไปตามคาดหมาย มติเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า คสช.สั่งการ สนช.ได้ทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำให้เห็นว่าเขาต้องการ กกต.ชุดใหม่ทั้งคณะ และตีความได้หลายอย่างคือ อาจจะอยากยืดเวลาการเลือกตั้ง โดยอ้างความพร้อมของ กกต. เพราะต้องหา กกต.ใหม่ทั้งหมดและต้องมาเตรียมความพร้อมกัน คสช.จะได้มีเวลาเตรียมการสืบทอดอำนาจ และทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกต. ที่ คสช. เป็นผู้สรรหามา ถือเป็นการสืบทอดอำนาจ คสช.อีกทางหนึ่ง หรือพูดให้ชัด มติออกมาแบบนี้เพราะคสช.ต้องการสืบทอดอำนาจ

ชาวบ้านเห็นด้วยโละเริ่มต้นใหม่

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 1,265 คน ระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย. เรื่องเซ็ตซีโร่ในสายตาประชาชน พบว่าร้อยละ 42.77 ให้ความสำคัญมาก ร้อยละ 35.42 ค่อนข้างให้ความสำคัญ ร้อยละ 17.39 ไม่ค่อยให้ความสำคัญ และร้อยละ 4.42 ไม่ให้ความสำคัญ เมื่อถามว่ารัฐธรรมนูญใหม่กำหนดให้ กกต.จากเดิม 5 คน เพิ่มเป็น 7 คน ร้อยละ 49.25 เห็นควรให้เซ็ตซีโร่เปลี่ยนใหม่หมดทุกคน เพราะจะได้เริ่มใหม่ เพื่อความยุติธรรมเท่าเทียม ร้อยละ 41.82 เปลี่ยนบางคน เพราะบางคนยังมีคุณสมบัติครบถ้วน มีประสบการณ์การทำงาน ร้อยละ 5.93 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 3 ไม่เปลี่ยนเลย เมื่อถามว่าคิดว่าการเซ็ตซีโร่ กกต.จะทำให้การเลือกตั้งเลื่อนเวลาออกไปหรือไม่ ร้อยละ 43.64 ระบุอาจต้องเลื่อนเวลาออกไป ร้อยละ 34.39 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 21.97 คิดว่าจะไม่เลื่อนเวลาออกไป เพราะรัฐบาลทำงานยึดตามโรดแม็ป เป็นการปรับที่ตัวบุคคลไม่น่าจะมีผลกระทบหรือทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป

“อังคณา” คาดรักษาการรอหลังเลือกตั้ง

นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวถึงกรณีที่ กสม.จะถูกเซ็ตซีโร่เป็นองค์กรถัดไปว่า ส่วนตัวไม่ติดใจการเซ็ตซีโร่ สาเหตุที่ทำให้ถูกเซ็ตซีโร่นั้น จากการทำงานมาปีเศษมีปัญหาอุปสรรคมาโดยตลอด ถูกตั้งคำถามมากสุดคงเป็นช่วงที่ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย อดีต กสม.ลาออก และถูกตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ กสม. น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่คนนอกมองว่ากรรมการชุดนี้มีปัญหาหรือไม่ นอกจากนี้ กสม.ชุดนี้สรรหามาจากรัฐบาลจากการปฏิวัติ มีประธานรัฐสภาโดยประธาน สนช.ทำหน้าที่แทน แต่ผู้นำฝ่ายค้านไม่มี จึงขาดไป ทำให้ถูกมองว่ามาจากภาคส่วนที่ไม่หลากหลาย หาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กสม.ผ่านการพิจารณาของ สนช. ในบทเฉพาะกาลระบุว่า กสม. ชุดนี้ต้องรักษาการจนกว่าจะมีกรรมการชุดใหม่ คาดว่าจะรักษาการจนกว่าจะเลือกตั้งแล้วเสร็จ เพราะองค์ ประกอบกรรมการสรรหาต้องมีทั้งประธานรัฐสภาและหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ถ้าจะบอกให้เลือกเลย แล้วไม่มีผู้นำฝ่ายค้านจะเหมือนเดิมอีก ฉะนั้นต้องรอประเทศไทยเลือกตั้งเพื่อให้มีประธานรัฐสภาและหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่มาจากการเลือกตั้ง จะได้ครบองค์ประกอบจะได้ไม่ถูกตั้งคำถามอีก

8 รมต.เสี่ยงโดนส่งศาล รธน.สอย

สำหรับกรณีที่ กกต.ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ 9 รัฐมนตรี ที่ถือครองหุ้น อาจเข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามหมวด 9 ของรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กกต.ว่า ขณะนี้อนุกรรมการฯได้รายชื่อครบหมดแล้ว เป็นบุคคลภายนอกจากองค์กรอื่น ขณะนี้รอเพียงนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.เซ็นคำสั่งแต่งตั้งในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจึงจะสามารถเริ่มกระบวนการทำงานตรวจสอบข้อเท็จ จริงภายใน 60 วัน ถ้าไม่เพียงพอสามารถขอขยาย ระยะเวลาได้ อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นมีรายงานว่ามีรัฐมนตรี 7-8 คน ที่อาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เนื่องจากมีการถือหุ้น 3 ประเภท 1.หุ้นสื่อสารมวลชน คือนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 2.หุ้นที่ทำกิจการการค้ากับรัฐ รับสัมปทานของรัฐ 6 คน ได้แก่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมช.ศึกษาธิการ นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และ 3.ถือหุ้นเอกชนคือนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ กรณีนี้ยังก้ำกึ่งว่าผิดหรือไม่ผิด ต้องตรวจสอบว่าต้องไม่มีฐานะเป็นผู้บริหาร ดูจากสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 5

“วิษณุ” รอดตัวข้อกล่าวหาไม่ชัดเจน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้มีเพียงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่จะไม่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ในกรณีเป็นลูกจ้าง จากการเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และกรรมการสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ เพราะเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ชัดเจนที่จะเข้าข่ายความผิด คาดว่าจากนี้คณะอนุกรรมการฯจะเรียกรัฐมนตรีดังกล่าวมาชี้แจง แต่ถ้าไม่มาสามารถส่งเอกสารมาชี้แจงได้

ชี้สอบ 9 รมต.ไม่กระทบรัฐบาล

วันเดียวกัน กรุงเทพโพล ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง กกต. เตรียมตรวจสอบคุณสมบัติ 9 รัฐมนตรี ประชาชนคิดอย่างไร พบว่าร้อยละ 37.3 ระบุว่าเป็นเกมการเมือง เพื่อสร้างข้อต่อรอง ร้อยละ 29.5 ระบุหยิบยกเรื่องสำคัญมาทำให้เสร็จก่อนมี กกต.ชุดใหม่ ร้อยละ 17.8 ระบุ กกต.ถึงวาระจะหยิบยกมาพิจารณาพอดี ร้อยละ 15.4 ระบุตั้งใจตอบโต้เพื่อเอาคืนรัฐบาล เมื่อถามว่าหาก กมธ.ไม่เสนอเซ็ตซีโร่ กกต.จะหยิบยกคำร้องนี้มาตรวจสอบหรือไม่ ร้อยละ 66.2 เห็นว่าน่าจะนำมาตรวจสอบอยู่แล้ว ร้อยละ 33.8 เห็นว่าคงไม่นำมาพิจารณา ส่วนที่ กกต.มาตรวจสอบในช่วงนี้ร้อยละ 66.2 ระบุว่ามีความชอบธรรม ร้อยละ 23.8 ระบุว่าไม่มีความชอบธรรม และร้อยละ 10 ไม่แน่ใจ ทั้งนี้ ร้อยละ 39.2 ไม่ค่อยมั่นใจว่า กกต.จะตรวจสอบโดยปราศจากอคติ ร้อยละ 22.8 ค่อนข้างมั่นใจ ร้อยละ 20 ไม่มั่นใจเลย ส่วนจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาล คสช.เพียงใด ร้อยละ 56.5 ระบุว่าส่งผลกระทบค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ร้อยละ 43.5 ส่งผลกระทบค่อนข้างมากถึงมากที่สุด

ปลัด มท.ยันคำถาม 4 ข้อไม่เกี่ยว ลต.

นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อคำถาม 4 ข้อเกี่ยวกับการเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรีว่า จากการตรวจสอบความพร้อมของศูนย์ดำรงธรรมทั้งระดับจังหวัด อำเภอและตำบลในทุกจังหวัด ทราบว่าขณะนี้ทุกจังหวัดพร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็น รวมถึงศูนย์ดำรงธรรมกระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ตามได้กำชับไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้อย่างกว้างขวาง ส่วนที่มีประชาชนสงสัยว่าทำไมจะต้องกรอกแบบฟอร์มอย่างละเอียด รวมทั้งต้องใช้บัตรประชาชนยืนยันตัวตนด้วยนั้น การแสดงความคิดเห็นครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อการจัดทำโพล แต่เป็นเพียงแค่การดำเนินการเพื่อรับทราบความคิดเห็นจากประชาชน เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการทำงานของรัฐบาลเท่านั้น ขอยืนยันว่าจะไม่เกี่ยวข้องและไม่มีผลกับเรื่องการเลือกตั้งใดๆทั้งสิ้น เป็นคนละเรื่องกัน

“บิ๊กตู่” สั่งยกเครื่องระบบงบประมาณ

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. สั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ให้จัดทำโครงสร้างและกลไกการทำงาน รวมทั้งแนวทางแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ บริหารแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งในระดับชาติ ภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด และอำเภอใหม่ทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะจัดทำรายละเอียดข้อเสนอแผนงาน โครงการ หลักเกณฑ์ และวิธีบริหารงบประมาณที่สอดคล้องกันต่อไป นายกฯเน้นย้ำว่าที่ผ่านมากระบวนการงบประมาณมีปัญหา ขาดความเชื่อมโยงในการวางแผน จำเป็นต้องปรับระบบใหม่ เพื่อให้งบประมาณเป็นเครื่องมือการบริหารที่เน้นความสำเร็จของนโยบาย รวดเร็ว โปร่งใส โดยกำหนดให้เพิ่มเติมแผนการใช้จ่ายระดับภาค จากเดิมที่มีเพียงระดับกลุ่มจังหวัดและจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนา 6 ภาค ที่ครอบคลุม 18 กลุ่มจังหวัด รัฐบาลพร้อมใช้อำนาจตามมาตรา 44 เร่งรัดให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะนายกฯ เน้นว่าการจัดสรรงบประมาณจะต้องบูรณาการรวมทุกมิติ เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 และฉบับต่อๆไปด้วย

“ปึ้ง” หยันเลิกแก้ตัวรีบแก้ไขก่อนวิกฤติ

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ว่ารายรับหรือรายได้ของรัฐไม่เคยเพียงพอกับรายจ่ายตั้งแต่รัฐบาล คสช.เข้ามาบริหารประเทศตลอด 3 ปี จึงต้องทำงบฯแบบขาดดุลมาทุกปี และต้องกู้เงินมาใช้จ่ายชดเชยการขาดดุล แต่ที่น่าเป็นห่วงมากมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ประเทศไทยควรจะปรับขึ้นภาษีแวตเป็นร้อยละ 14 และ 2.หนี้สาธารณะของประเทศไทยที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ชี้ว่าหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากการขาดทุน ควรถูกนำมารวมในหนี้สาธารณะของประเทศด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม อยากให้การทำงบฯต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทางการเงินการคลัง ตามมาตรา 62 ของรัฐธรรมนูญ ถ้ากระทรวงการคลังไม่รีบแก้ไขปัญหาให้ดีและรัฐบาลยังหาเงินเข้าประเทศไม่เป็น อาจส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินการคลังเหมือนในช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อช่วงปี 2540 ขอเตือนว่าหมดเวลาจะมานั่งแก้ตัว ข้อมูลตัวเลขต่างๆเป็นตัวชี้วัด จะปิดบังความจริงกันคงไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. รีบแก้ไขโดยด่วน

รัฐมอบเงิน 1.3 พันล้านช่วย ผรท.

พ.อ.พีรวัชฌ์ แสงทอง โฆษก กอ.รมน. เปิดเผยว่า จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือค่าประกอบอาชีพสำหรับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) จำนวน 6,183 คน คนละ 225,000 บาท รวมทั้งสิ้น 1,391,175,000 บาท กอ.รมน.ได้เบิกจ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณแล้ว และจะมอบให้ ผรท.ตามบัญชีรายชื่อที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด ในวันที่ 21 มิ.ย. เวลา 13.00 น. พร้อมกันทั่วประเทศ โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยตามรายชื่อที่ผ่านการพิจารณาแล้ว ผรท.ที่จะมารับเงินต้องเตรียมหลักฐานสำคัญ ได้แก่ สมุดบัญชีธนาคารกรุงไทย บัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านฉบับจริง ไปรับเงินในพื้นที่ กอ.รมน.ภาค 1 รับได้ที่สโมสรทหารบก กทม. โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหมจะเป็นประธานมอบเงิน และกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ จ.กาญจนบุรี พื้นที่ กอ.รมน.ภาค 2 ตั้งจ่ายที่ 1.กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา ค่ายประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี มณฑลทหารบกที่ 210 จ.นครพนม และ 4.ศาลากลาง จ.มุกดาหาร พื้นที่ กอ.รมน.ภาค 3 ตั้งจ่ายที่มณฑลทหารบกที่ 38 จ.น่าน มณฑลทหารบกที่ 310 จ.ตาก พื้นที่ กอ.รมน.ภาค 4 ตั้งจ่ายที่กองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ จ.นครศรีธรรมราช มณฑลทหารบกที่ 45 จ.สุราษฎร์ธานี กองพันทหารช่างที่ 402 จ.พัทลุง

ศาลฎีกาไม่ให้ประกัน “อริสมันต์”

ช่วงเย็น นายศุชัยวุธ ชาวสวนกล้วย ทนายความนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช.กล่าวถึงการยื่นคำร้องขอประกันตัวนายอริสมันต์ต่อศาลฎีกา หลังศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกนายอริสมันต์ 4 ปี ปรับ 200 บาท คดีปิดโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยาว่า เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวนายอริสมันต์ ระบุว่านายอริสมันต์ต้องโทษจำคุก 12 เดือน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมิ่นประมาทนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายก-รัฐมนตรี เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดทำให้นายอริสมันต์ ต้องถูกคุมขังในเรือนจำอยู่ดี หากนายอริสมันต์รับโทษครบแล้วจะยื่นขอประกันตัวอีกครั้ง ส่วนจำเลยร่วมอีก 12 คน ศาลฎีกาไม่ให้ประกันตัวเช่นกัน เพราะเกรงจะหลบหนี

อดีต ส.ส.วงแตกอีโอดีรับแจ้งตรวจบึม

เมื่อเวลา 18.00 น. ที่ห้องกรุงเทพ 2 ชั้น 2 โรงแรมเซ็นทรัล ลาดพร้าว ได้มีอดีต ส.ส.จากหลายพรรคในนามกลุ่มสโมสร ส.ส. จำนวน 40 คน มาร่วมสังสรรค์และรับประทานอาหาร ทั้งอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายสุพัฒน์ ธรรมเพชร อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ นายมานะ มหาสุวีระชัย อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ รวมถึงอดีต ส.ส.ไทยรักไทย อาทิ นายวิวัฒนไชย ณ กาฬสินธุ์ อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ นายจักรพันธ์ ยมจินดา อดีต ส.ส.กทม. นายบัวสอน ประชามอญ อดีต ส.ส.เชียงราย นายโสภณ เพชรสว่าง อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ นายวัฒนา เซ่งไพเราะ อดีต ส.ส. กทม. เป็นต้น ปรากฏว่าระหว่างร้องเพลงเพื่อรอเพื่อน ส.ส.ทยอยเดินทางมา ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบของ สน.พหลโยธิน โดย ร.ต.ท.ไชยรัตน์ พลหาร แจ้งต่อสมาชิกในห้องรวมถึงห้องอื่นว่าได้รับแจ้งว่ามีวัตถุต้องสงสัย บริเวณชั้น 2 ของโรงแรม ขอให้ออกจากพื้นที่เป็นการด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่อีโอดีมาตรวจสอบ สร้างความไม่พอใจแก่บรรดาอดีต ส.ส.เป็นอย่างมาก แต่ต่างได้ทยอยเดินทางมาและยกเลิกงาน

ขณะที่นายจักรพันธุ์กล่าวว่า สมาชิกอดีต ส.ส. ในกลุ่มมี 76 คน ล้วนมีคะแนนในพื้นที่เกิน 3 หมื่นคะแนน ได้นัดหารือถึงกติกาการเลือกตั้งใหม่ว่าจะทำอย่างไรกันต่อ ไม่ใช่หารือการตั้งพรรค แต่อนาคตไม่แน่ จากนี้จะมีการนัดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

เคลียร์พื้นที่ไม่พบวัตถุต้องสงสัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธินเข้าตรวจค้นวัตถุต้องสงสัยในห้องจัดงานดังกล่าว เนื่องจากได้รับคำสั่งทางลับให้ตำรวจนอกเครื่องแบบ มาสังเกตการณ์การรับประทานอาหารของบรรดาอดีต ส.ส.ว่าจะมีใครมาร่วมบ้าง ต่อมาช่วงค่ำก็มีคำสั่งให้ตำรวจแจ้งผู้ร่วมสังสรรค์ยกเลิกงาน แล้วจึงมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาพร้อมบอกกับกลุ่มอดีต ส.ส.ว่ามีพลเมืองดีแจ้งว่าพบวัตถุต้องสงสัย เพื่อความปลอดภัยขอให้แยกย้ายกันกลับ ทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) ได้นำเครื่องตรวจวัตถุต้องสงสัยมาตรวจเคลียร์บริเวณห้องที่ใช้จัดงาน โดยใช้เวลาประมาณ 45 นาที ขณะที่กลุ่มผู้สื่อข่าวที่ยังคงปักหลักเฝ้าติดตามสถานการณ์ สังเกตพบว่ามีกลุ่มพนักงานโรงแรมเดินเข้าไปเคลียร์ทำความ สะอาดภายในห้องจัดเลี้ยง เมื่อตามไปตรวจสอบภายในห้องพบกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจทยอยเดินกลับออกไปทางประตูหนีไฟ จากการสอบถามตำรวจฝ่ายสืบสวนไม่พบวัตถุต้องสงสัยแต่อย่างใด