ครม.ซุ่มเงียบมีมติลับ 21 ก.พ. 60 ให้ อสส.ยื่นศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัย ปม ปตท.อมท่อก๊าซอีกรอบ ไม่ทำตาม คตง.ที่มีมติให้ใช้อำนาจฝ่ายบริหารสั่ง ปตท.คืนท่อก๊าซอีก 3.2 หมื่นล้าน คืนให้รัฐ ขณะที่ "ขุนคลัง" อ้างสั่ง ปตท.โอนท่อก๊าซคืนหลวงตามข้อเสนอ สตง.ไม่ได้ แม้ถือหุ้นใหญ่ เหตุเข้าข่ายผลประโยชน์ขัดกัน เตือน ครม.ทำตาม เสี่ยงถูกผู้ถือหุ้นรายอื่นฟ้องฐานละเมิดสิทธิ ด้าน คตง.สวนคลังบิดเบือนรายงาน ทำให้ ครม.สำคัญผิด มีมติผิดพลาด ส่งหนังสือให้ ครม.ทบทวนมติใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้ากรณีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มีมติเมื่อวันที่ 10 พ.ค. 59 ให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ส่งคืนท่อก๊าซทั้งบนบกและในทะเลมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.2 หมื่นล้านบาทให้กระทรวงการคลัง เนื่องจากยังมีการส่งคืนไม่ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดนั้น ล่าสุด ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 60 มอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการยื่นคำขอตามมาตรา 75/3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2559 โดยให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เข้ามามีส่วนร่วมในคดีดังกล่าว และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการ ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 50 ให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการยื่นคำขอของพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อเสนอของ สตง.ที่ให้บริษัท ปตท.คืนท่อก๊าซที่ขาดไปให้กับกระทรวงการคลัง ด้วยการปรับเปลี่ยนบัญชีงบดุลจากทรัพย์สินเป็นสิทธิการเช่า โดยจะไม่เกิดความเสียหายกับบริษัท ปตท. ซึ่งหากยินยอมส่งคืนก็เพียงแต่แจ้งให้ศาลปกครองสูงสุดทราบเท่านั้น ข้อขัดแย้งก็จะยุติลง อย่างไรก็ตาม มติ ครม.ดังกล่าวได้ถูกทักท้วงจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ซึ่งมีการประชุมในวันที่ 2 มี.ค. 60 เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง และให้ สตง.ส่งเรื่องให้ ครม.ทบทวนมติดังกล่าว เนื่องจากกระทรวงการคลังไม่ได้รายงานผลการประชุม 4 ฝ่าย คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงานอัยการสูงสุด และ สตง. เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 59 อย่างถูกต้อง เพราะมติที่ประชุมครั้งนั้นให้ปฏิบัติตามข้อเสนอของ สตง.โดยให้ ครม.ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 โดยให้คณะรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน ดำเนินการให้ ปตท.ส่งคืนท่อก๊าซดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังตามหลักการบังคับบัญชา โดยไม่ต้องขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีบังคับ

...

แต่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กลับมีหนังสือแจ้งคณะรัฐมนตรีให้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้วินิจฉัยว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ส่งมอบท่อก๊าซครบถ้วนหรือไม่ โดยไม่ได้ขอให้ ครม.ใช้หลักการบังคับบัญชาสั่งให้มีการส่งมอบท่อก๊าซให้ครบถ้วน ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด และตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเสร็จที่ 1320/2559 ประกอบมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 10 พ.ค. 59 เป็นเหตุให้ ครม.สำคัญผิดจนมีมติเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 60 ให้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้พิจารณาวินิจฉัยว่า บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ส่งมอบท่อก๊าซครบถ้วนหรือไม่ ซึ่ง คตง.เห็นว่ามติดังกล่าวไม่ถูกต้อง ขอให้ทบทวนและดำเนินการให้เป็นไปตามมติของที่ประชุมสี่ฝ่ายเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 59 คือให้คณะรัฐมนตรีใช้หลักการบังคับบัญชาส่งให้มีการส่งมอบท่อก๊าซตามข้อเสนอของ สตง. เป็นที่น่าสังเกตว่าเอกสารราชการที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณากรณีการแบ่งแยกท่อก๊าซของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ล้วนตีตราหัวเอกสารว่าเป็นเรื่องลับมาก แม้แต่มติ ครม.วันที่ 21 ก.พ.60 ที่ให้อัยการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยกรณีนี้อีกครั้ง ก็ไม่มีการแถลง หรือเปิดเผยต่อสาธารณชนแต่อย่างใด โดยหลังจากที่ คตง.มีมติให้นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ส่งคืนท่อก๊าซทั้งบนบกและในทะเลมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.2 หมื่นล้านบาทให้กระทรวงการคลังไป เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 59 และ ครม.มีมติในวันที่ 27 ก.ย. 59 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาและรายงานผลการตรวจสอบการแบ่งแยกทรัพย์สินตามความเห็นของ สตง. ซึ่งมีการประชุมหลายครั้ง อาทิ การประชุมระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กรมธนารักษ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 21 ต.ค. 59 และการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรมธนารักษ์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในที่ประชุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 59 อันเป็นที่มาของการนำมติที่ประชุมวันดังกล่าว เป็นเหตุผลที่ คตง.ใช้ในการทักท้วงมติ ครม. ที่ให้ส่งศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเรื่องความถูกต้องในการคืนท่อก๊าซอีกครั้งว่า เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง

สำหรับมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 59 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) มี 2 ประเด็นคือ 1. เห็นพ้องให้ดำเนินการตามแนวทางความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงการคลังนำเสนอแนวทางดำเนินการดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ประกอบกับมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 800/2557 ระบุให้คณะรัฐมนตรีสามารถสั่งการให้มีการส่งมอบท่อก๊าซธรรมชาติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้ตามหลักการบังคับบัญชา ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีได้สั่งการและมีการส่งมอบแล้ว คณะรัฐมนตรีในฐานะผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็สามารถแจ้งต่อศาลปกครองสูงสุดว่า มีการบังคับคดีที่ถูกต้องครบถ้วนแล้ว และ 2. ในการนำเสนอแนวทางการดำเนินการตามข้อ 1 ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาด้วยว่า การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวจะมีสภาพบังคับตามกฎหมายในการให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โอนทรัพย์สินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่ายังขาดไปหรือไม่ เพียงใด หากไม่มีสภาพบังคับตามกฎหมายก็ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ในศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดในคดีดังกล่าวเพื่อให้ได้ข้อยุติต่อไป

ในขณะที่ นายอภิศักดิ์ ทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 16 ธ.ค. 59 ให้ความเห็นว่า การที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โอนทรัพย์สินตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินนั้น ก็อาจเป็นการโต้แย้งสิทธิต่อผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีได้ และแม้กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แต่ก็ไม่อาจจะดำเนินการใดๆ เพื่อให้มีการโอนทรัพย์สินของบริษัท ปตท.ฯ ไปเป็นของตนได้ เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องดังกล่าว อันมีลักษณะขัดกันแห่งผลประโยชน์ จึงเสนอให้คณะรัฐมนมตรีมีมติให้คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี กระทรวงพลังงาน และบริษัท ปตท.ฯ ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ในคดีศาลปกครองสูงสุดคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.35/2550 ร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อมีคำสั่งว่าทรัพย์สินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่ายังขาดไปนั้น เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่จะต้องโอนให้แก่กระทรวงการคลังหรือไม่อย่างไร โดยให้มีมติให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินการเพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและกระทรวงการคลังเข้าเป็นคู่กรณีเพื่อให้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีนี้ด้วย