"อลงกรณ์" โพสต์เฟซฯ ประกาศ "วางมือการเมือง" หลังทำหน้าที่ สปท.ครบวาระ ลั่นไม่ย้ายพรรค ระบุต้องแยกการเมืองออกจากการปฏิรูป

เมื่อวันที่ 14 เม.ย. นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฎิรูปประเทศ (สปท.) คนที่ 1 ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว โดยระบุตอนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 13 เม.ย.56 ตนใช้ทวิตเตอร์เสนอเรื่องการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ตอนเป็นรองหัวหน้าพรรคโดยหวังว่าจะส่งผลให้เกิดการปฏิรูปการเมืองและการปฏิรูปประเทศตามมา โดยเวลาผ่านมา 4 ปี เหตุการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก วันนี้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และประเทศกำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามวันนี้ซึ่งถือเป็นปีใหม่ไทยวันที่ 13 เม.ย.60 เป็นฤกษ์ดีที่จะพูดถึงอนาคตของประเทศ ณ จุดเปลี่ยนสำคัญและถึงเวลาที่ตนควรจะตอบคำถามเกี่ยวกับอนาคตทางการเมือง ซึ่งคำถามของสื่อมวลชนคือตนจะลาออกจากสปท.เพื่อลงสมัคร ส.ส.ครั้งหน้าหรือไม่ จะตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ หรือจะกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ หรือจะไปอยู่พรรคไหนอย่างไร ขณะเดียวกันก็มีคำถามแฝงความสงสัยข้องใจถึงอนาคตของประเทศว่าจะเป็นเช่นไร การปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติและการปรองดองจะสำเร็จหรือไม่ คืบหน้าแค่ไหน

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อมั่นเสมอว่าประเทศของเรามีอนาคตอย่างแน่นอนด้วยเหตุผล 3 ประการ 1. ศักยภาพของประเทศ 2. ศักยภาพของคนไทย 3. การปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องแต่ประเทศยังมีความเสี่ยงอยู่มากโดยเฉพาะความขัดแย้งทางการเมืองมีการใช้ความรุนแรงและการแบ่งแยก ปชช.จนนำมาสู่การรัฐประหารถึง 2 ครั้งในระยะ 10 ปี ยังมีปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจ การก่อการร้าย ภาวะโลกร้อนและเทคโนโลยีจากภายนอกประเทศที่เป็นอีกความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบมากว่า 10 ปีและต่อๆ ไป 

...

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีศักยภาพทำให้เรามีความหวังและเรามีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้กังวล และเรายังมี 6 ปัญหาใหญ่ของประเทศที่ต้องแก้ไข ได้แก่ 1. การคอร์รัปชัน 2. ความเหลื่อมล้ำ 3. การบังคับใช้กฎหมาย 4. ระบบราชการ 5. ระบบการเมือง 6. การเลือกตั้ง ปัญหาทั้ง 6 บวกความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ เปรียบเสมือนโคลนติดล้อที่ต้องสลัดออก ดังนั้นเราต้องมี "สะพาน" ที่จะ "ก้าวข้าม" ปัญหานานัปการและต้องมี "บันได" ที่จะก้าวขึ้นสู่อนาคตที่ดีกว่าของประเทศ สะพานและบันไดนั้นคือการปฏิรูป สำหรับผมได้ผูกอนาคตตัวเองไว้กับอนาคตของประเทศนับแต่เสนอประเด็นการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์และการปฏิรูปการเมืองสู่การปฏิรูปประเทศ โดยกว่า 2 ปีการปฏิรูปประเทศใน 11 ด้านก้าวหน้าปรากฏผลไปมากพอควรตามความยากง่าย และความซับซ้อนของปัญหา พร้อมกับวางรากฐานอนาคตใหม่ให้กับประเทศของเรา

"เมื่อถึงโค้งสุดท้ายของการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หลายฝ่ายอยากให้ผมตั้งพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ หลายคนอยากให้กลับพรรคประชาธิปัตย์และบางพรรคเชิญไปอยู่ เรื่องการไปอยู่พรรคการเมืองอื่นหรือตั้งพรรคการเมืองใหม่คงไม่ทำเพราะต้องรักษาสัจจะที่เคยพูดกับคนเพชรบุรีว่าเมื่อเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์ก็จะอยู่เพียงพรรคเดียว เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างอนาคตทางการเมืองกับอนาคตของประเทศ ผมจึงตัดสินใจวางมือทางการเมืองเพื่อทำงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศจนถึงวาระสุดท้าย เพราะผมพูดเสมอว่าต้องแยกการเมืองออกจากการปฏิรูป ซึ่งการปฏิรูปประเทศครั้งนี้เป็นการปฏิรูปประเทศของเรา ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีผลประโยชน์ทางการเมืองของใครมาเกี่ยวข้อง การปฏิรูปประเทศ จะบรรลุความสำเร็จต้องยึดประโยชน์ส่วนรวม ต้องเป็นกลางไม่ฝักฝ่ายใดแม้แต่ตัวเองและพวกพ้องก็ฝักฝ่ายไม่ได้ จึงจะได้รับความร่วมมือ" นายอลงกรณ์ กล่าว