เมื่อปีที่แล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการแก้ไขปัญหาระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการไทยให้เป็นรูปธรรมขึ้นคณะหนึ่ง
คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้มี พลเรือเอกศักดิ์สิทธิ์ เชิดบุญเมือง เป็นประธานกรรมาธิการ นายสีมา สีมานันท์ เป็นกรรมาธิการและประธานที่ปรึกษา พลเรือเอกพิจารณ์ ธีรเนตร เป็นเลขานุการกรรมาธิการ
ด้วยความเอาจริงเอาจังของท่านประธานทั้งสอง เลขานุการ ตลอดจนทุกคนทั้งในและนอก สนช.ที่เข้ามาเป็นกรรมาธิการ มีการประชุมกันถึง 38 ครั้งและมีการเชิญทุกฝ่ายที่เห็นว่าเกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงตลอดจนแสดงความคิดเห็นให้คณะกรรมาธิการได้พิจารณา
มีการจัดสัมมนาว่าด้วยเรื่องดังกล่าวอีก 1 ครั้ง แล้วรายงานผลการศึกษาพร้อมกับข้อเสนอแนะไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบและแจ้งไปยังรัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
รายงานผลการศึกษาดังกล่าวมีความยาวเป็นเล่มใหญ่ แต่เพื่อให้สังคมภายนอกได้รับรู้กันอย่างกว้างขวางจึงขอบันทึกไว้ในที่นี้ด้วย บทสรุปสำหรับผู้บริหาร ที่มีเนื้อหาว่า
ระบบราชการถือเป็นเสาหลักที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้านอกเหนือจากภาคการเมือง ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน โดยระบบราชการมีบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ จำนวนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งจะต้องเป็นพลังที่สำคัญในการขับเคลื่อนตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการบริหารบ้านเมืองให้สำเร็จลุล่วงและมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ระบบราชการไทยไม่สามารถพัฒนารุดหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะ ระบบราชการในสังคมไทยยังมีการใช้ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นระบบที่ยึดถือความพึงพอใจของบุคคลเป็นสำคัญ มิได้คำนึงถึงหลักคุณธรรม ความเสมอภาค ความรู้ความสามารถ ความมั่นคง และความเป็นกลางทางการเมือง
ที่ผ่านมาแม้จะมีความพยายามปฏิรูประบบราชการและการปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานบุคคล เพื่อขจัดปัญหาจากระบบอุปถัมภ์ให้หมดสิ้นไป แต่ปรากฏว่า ในระบบราชการยังมีการใช้ระบบเส้นสาย พวกพ้องและใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ จนทำให้ข้าราชการขาดขวัญกำลังใจ คนเก่งคนดีไม่สามารถอยู่ในระบบได้หรือถูกผู้มีอำนาจใช้ไปในทางส่วนตัว กลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน กระทบต่อประสิทธิภาพของระบบราชการ ก่อให้เกิดผลเสียหายอันใหญ่หลวงต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศชาติ
หากปัญหาระบบอุปถัมภ์นี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ก็จะกลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกจนไม่สามารถแก้ไขได้ และสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติตลอดไป
การศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพบว่า ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบราชการและวัฒนธรรมการทำงานของราชการยังคงถูกแทรกซึมด้วยระบบอุปถัมภ์มาโดยตลอด ข้าราชการไทยส่วนหนึ่งยังยึดโยงกับความเชื่อในเรื่อง “ผู้ใหญ่-ผู้น้อย” “การให้ความช่วยเหลือ” “การฝากเนื้อฝากตัว” “การทดแทนบุญคุณ” “ข้าเต่าเก่าเลี้ยง” จึงเกิดระบบที่เรียกว่า เจ้านายเก่าลูกน้องเก่าที่ต่างอุปถัมภ์ค้ำชูช่วยเหลือตอบแทนกัน เจ้านายเก่านั้นก็ย่อมต้องมีเจ้านายเก่าของตนอีกทอดหนึ่งที่จะต้องช่วยเหลือตอบแทนสืบเนื่องกันไป ทำให้ระบบอุปถัมภ์ยังคงฝังลึกไปทั้งระบบราชการไทย
บทสรุปดังกล่าวนี้ยังมีต่ออีกวันจึงจะครบถ้วน.
“ซี.12”