ถึงจังหวะต้อง “เปิดใจ” กันแล้ว
ในอารมณ์ที่ “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม อดีต ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์นักข่าวแบบปล่อยเบรกยาว ยืนยัน ขณะนี้ยังทำหน้าที่ตามปกติ
ไม่มีการตัดสินใจไขก๊อกตามกระแสกดดัน
“ผมยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ผมไม่เคยหวังที่เอาประโยชน์อะไรจากโครงการนี้ คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรที่จะให้โครงการนี้เดินหน้าไป แม้แต่ทุนทรัพย์ของเราเองหรือจากคนรู้จักที่จะมาบริจาค ก็ดำเนินการกันมาด้วยความตั้งใจและโปร่งใส เคยให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่าการทำงานต้องทำให้เรียบร้อยที่สุด โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้”
ตามระดับความเข้ม คำพูดของชายชาติทหารที่เครดิตสูงกว่านักการเมือง
โดยเฉพาะตรงที่ พล.อ.อุดมเดชบอกเลยว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในฐานะที่ตัวเองเกษียณเมื่อปีที่ผ่านมา โดยที่ตนเองและกองทัพบกระลึกเสมอมาว่าเรามีศักยภาพที่จะทำอะไรขึ้นมาให้มากกว่าการเป็นทหารชั้นผู้น้อย
จุดนี้น่าจะอธิบายอะไรได้ เพราะคิดกันตามตรรกะง่ายๆคนระดับอดีตจ่าฝูงกองทัพบกที่มีช่องทางของผลประโยชน์มากมาย มีแต่คนพร้อมเสนอให้
ถ้าจะมีนอกมีในจริงๆ คงไม่เสี่ยงกับหัวคิวหลักแสนหรือหลักไม่กี่ล้าน
งานนี้น่าจะเชื่อได้ในความสุจริตใจ เจ้าตัวต้องการให้เป็นเกียรติประวัติของชีวิต ในฐานะอดีต ผบ.ทบ.ที่มีการสร้างประวัติศาสตร์อวดลูกหลานในวงศ์ตระกูล
แต่เรื่องของเรื่อง ถ้าไม่บังเอิญว่าในทางกระแสมันยังมีปมก้ำกึ่งกับมาตรฐานความรับผิดชอบต่อขบวนการไม่โปร่งใสที่พัวพันอยู่กับนายทหารคนสนิท
โดยเครดิตของทีมงาน คสช.ที่ตั้งมาตรฐานความโปร่งใสไว้เหนือนักการเมืองสูงลิบ
เอาเป็นว่า สถานการณ์นับจากนี้ไป รมช.กลาโหมจะอึดทนแรงเสียดทานได้มากแค่ไหน ตามปรากฏการณ์ที่เห็นได้จากอาการที่ “บิ๊กโด่ง” ต้องตอบคำถามนักข่าวแบบให้สัมภาษณ์ยาวสุดนับตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ.จนมานั่งเป็นรัฐมนตรี แถมมีการโยงไปถึงขบวนการที่แอบยิ้มเยาะอยู่เบื้องหลัง
ผิดจากบุคลิกปกติที่เงียบขรึม สงวนท่าทีเสียเป็นส่วนใหญ่
แน่นอนว่านี่คือสถานภาพของ “ตำบลกระสุนตก”
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็เหมือนจะโยงเป็นคนละเรื่องเดียวกัน โดยกระแสกดดัน “บิ๊กโด่ง” ทุ่นระเบิดอุทยานราชภักดิ์จะสร้างความสาหัสกับรัฐบาล คสช.ได้ขนาดไหน
ถึงขั้น “เรือแป๊ะ” จะเกยตื้นเลยหรือไม่
มันก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขประกอบอีกด้านหนึ่งด้วย ตามสัญญาณด้านบวกทางเศรษฐกิจที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นำคณะเดินสายโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น
หอบความหวังกลับมาเป็นกระบุงโกย
โดยเฉพาะการยืนยันว่า ญี่ปุ่นจะไม่ทิ้งฐานการลงทุนที่เมืองไทยไปประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกับมีการเปิดดีลทั้งระดับนักลงทุนรายใหญ่และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
กระตุกบรรยากาศเศรษฐกิจด้านต่างประเทศดูมีน้ำมีนวลขึ้น
แต่ขณะเดียวกันก็มีโจทย์เศรษฐกิจภายในประเทศรออยู่ ตามคิวรีบด่วนที่นายสมคิดนัดคุยกับผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก 7 สมาคมที่กำลังเจอปัญหาเหล็กคุณภาพต่ำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาตีตลาด ดัมพ์ราคาตัดหน้าอย่างหนัก
โรงงานเหล็กกว่า 100 โรงงาน มูลค่าลงทุนนับแสนล้านส่อเจ๊งตามๆกัน
ตามรูปการณ์ ถ้ายังไม่มีการเร่งออกมาตรการเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ก็เสี่ยงเกิดภาวะโรงงานเลิกกิจการ แรงงานนับแสนคนต้องได้รับผลกระทบอาจถึงขั้นตกงาน
ซึ่งนั่นก็จะกระเทือนเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นห่วงโซ่
นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า ประเมินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมนายสมคิดที่ออกมาไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าเมกกะโปรเจกต์รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ เร่งการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการอัดฉีดงบประมาณโครงการ “ประชารัฐ” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับฐานราก
มุ่งทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศลื่นไหลไปได้
“สมคิด” ไม่ปล่อยให้ปมเหล็กหนักๆทำให้สะดุดแน่.