กกต. ปิดรับสมัคร สส.แล้ว ยอดรวมไม่เป็นทางการ แบบแบ่งเขต 3,526 คนจาก 60 พรรค ส่วนบัญชีรายชื่อ 1,570 คนจาก 57 พรรค ในจำนวนนี้มีแคนดิเดตนายกฯ รวม 94 คนจาก 43 พรรคการเมือง ส่งศาลสกรีนคุณสมบัติ


เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 31 ธันวาคม 2568 ว่าที่ ร.ต. ภาสกร สิริภคยาพร รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง แถลงที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ สรุปภาพรวมการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมด ว่า ข้อมูลตามการปิดการรับสมัครการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ณ เวลา 16.00 น. วันนี้

มียอดผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตรวม 3,526 คน จาก 60 พรรคการเมือง และมีผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อทั้งหมด 1,570 คน จากทั้งหมด 57 พรรคการเมือง โดยมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 94 คน ที่เสนอจาก 43 พรรคการเมือง 

เขตการเลือกตั้งที่มีการส่งผู้สมัครมากที่สุด คือ เขตการเลือกตั้งที่ 30 เขตบางแค (เฉพาะแขวงหลักสองและแขวงบางแค) และเขตภาษีเจริญ (เฉพาะแขวงบางหว้า แขวงบางด้วน และแขวงคลองขวาง) จำนวนผู้สมัคร 19 คน ส่วนผู้สมัคร สส. ที่มีอายุมากที่สุดคือ 90 ปี

รองเลขาธิการ กกต. กล่าวอีกว่า กระบวนการหลังการปิดรับสมัคร สส. หลังจากนี้สำนักงาน กกต. จะส่งข้อมูลผู้สมัครไปตรวจสอบคุณสมบัติผ่าน 26 หน่วยงาน อาทิ ศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ ซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นก่อนจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครเลือกตั้งภายใน 7 วัน หรือวันที่ 7 มกราคม 2569

ทั้งนี้ หากมีกรณีที่ กกต. หรือผู้อำนวยการ กกต.ประจำเขต ไม่ประกาศรายชื่อใครเป็นผู้สมัคร ผู้สมัครสามารถยื่นคำร้องศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ ซึ่งศาลฯ จะพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 3 วัน หรือในกรณีที่มีการประกาศรายชื่อไปแล้ว แต่มีผู้คัดค้านก็สามารถยื่นคัดค้านได้ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีการประกาศรายชื่อ และหากผู้สมัครถูกตัดสิทธิภายหลัง แต่มั่นใจว่าตนสามารถสมัครได้ ก็สามารถอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ หรือถ้า กกต.ประจำเขต และ กกต. เห็นว่ามีผู้สมัครขาดคุณสมบัติ กกต. ก็สามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อตัดชื่อออกจากบัญชีรายชื่อได้

...

ว่าที่ ร.ต. ภาสกร กล่าวย้ำด้วยว่า กรณีที่มีผู้สมัครมีคุณสมบัติไม่ครบหรือมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังลงสมัครหรือให้พรรคการเมืองเสนอบัญชีรายชื่ออีกนั้น ถือเป็นความผิดเฉพาะตัว จะต้องถูกดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับสูงสุด 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลอาจสั่งเพิกถอนสิทธิลงสมัครเลือกตั้งมีกำหนด 20 ปี ซึ่งพรรคการเมืองจะมีความผิดในกรณีที่พรรคการเมืองส่งผู้สมัครที่ไม่ผ่านการทำไพรมารี่โหวตหรือเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบจำนวนวัน ซึ่งนายทะเบียนสมาชิกพรรคอาจต้องรับผิดชอบด้วย

ส่วนที่เริ่มปรากฏคลิปมีผู้สวมเสื้อพรรคการเมืองไปจ่ายเงินให้กับผู้ใช้สิทธิการเลือกตั้งนั้น รองเลขาธิการ กกต. ระบุว่า ข้อมูลบางส่วนจะต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 73 ห้ามจูงใจการลงคะแนนด้วยการให้ เสนอหรือสัญญาว่าจะให้ด้วยทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยจะต้องเป็นไปตามกระบวนการไต่สวน

สำหรับกรณีที่มีผู้สมัครถูกทำลายป้ายหาเสียงการเลือกตั้ง รองเลขาธิการ กกต. เผยว่า ถือเป็นความผิดทางอาญาเฉพาะตัว ซึ่งผู้สมัครที่ถูกทำลายป้ายหาเสียง สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ฐานถูกทำลายทรัพย์สิน โดยไม่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.

ขณะเดียวกัน รองเลขาธิการ กกต. ยังยืนยันด้วยว่า ในกรณีที่พรรคประชาชนส่ง นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อดีต สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 33 เขตบางพลัดและเขตบางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช) แทนนายบุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ อดีตผู้สมัครที่ถูกจับกุมเนื่องจากพัวพันกับคดียาเสพติดและการฟอกเงินนั้น สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากพรรคการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงตัวผู้สมัครได้ ในกรณีที่ผู้สมัครตาย ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ซึ่งในกรณีที่มีลักษณะต้องห้าม แม้จะถูกจับกุมแล้วแต่คดียังไม่ถึงที่สิ้นสุด และเนื่องจาก นายบุญฤทธิ์ ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาชนแล้ว จึงทำให้ขาดคุณสมบัติในการลงรับสมัครเลือกตั้ง กรณีดังกล่าวจึงถือว่าขาดคุณสมบัติเพราะลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และตามระเบียบนั้นให้ผู้สมัครที่มาสมัครแทน และผู้สมัครที่เหลืออยู่จากพรรคการเมืองอื่นยังคงใช้หมายเลขประจำตัวหมายเลขเดิมตามหลักเกณฑ์.