“ทนายวิญญัติ” เผย “ทักษิณ ชินวัตร” พร้อมรอพักโทษ คงสถานะผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลาง ยังไม่ได้ปรับเป็นชั้นดี ขออัยการสูงสุดทบทวนอุทธรณ์คดี ม.112 ตั้งข้อสังเกตมีดีลกับพรรคสีน้ำเงินหรือไม่
วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันนายทักษิณ ยังคงสถานะผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลาง ยังไม่ได้ปรับเลื่อนชั้นเป็นชั้นดี ส่วนกรณีที่ว่า นายทักษิณ จะได้รับการเสนอชื่อปรับเลื่อนชั้นจากชั้นกลางเป็นชั้นดี จากการพิจารณาของคณะกรรมการระดับเรือนจำกลางคลองเปรม ไปยังคณะกรรมการส่วนกลาง ระดับกรมราชทัณฑ์ ในช่วงประมาณเดือนเมษายน 2569 ซึ่งหมายความว่าแม้เดือนมีนาคม 2569 นายทักษิณ จะครบกำหนดคุมขัง 6 เดือน ก็จะได้รับการพิจารณาโครงการพักการลงโทษกรณีทั่วไป อาจไม่ทันได้พักโทษในเดือนมีนาคม 2569 นั้น
นายวิญญัติ ระบุว่า เข้าใจในกระบวนการของราชทัณฑ์ และนายทักษิณเองก็เข้าใจ แม้จะต้องอยู่ไปอีกกี่เดือนก็ตาม เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการพักโทษ สิทธิประโยชน์ของผู้ต้องขัง ท่านก็พร้อมปฏิบัติตามระเบียบของราชทัณฑ์ เราไม่มีวันไปกดดันเจ้าหน้าที่ หรือไปใช้อำนาจใดที่ทำให้เกิดเรื่องที่ผิดกฎหมาย ดังนั้น ห้วงเวลาของการพักโทษของนายทักษิณ จะมีสิทธิพิจารณาเวลาใดหลังจากนี้เราก็ยินดี แม้ 6 เดือน หรือ 8 เดือน เราก็ต้องรอการปรับเลื่อนชั้นให้เรียบร้อยก่อน
ส่วนการอุทธรณ์สู้คดีมาตรา 112 หลังอัยการสูงสุดคนปัจจุบันมีคำสั่งให้อัยการอุทธรณ์คดี โดยก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาคดี 112 ของอัยการมีมติ 8:2 เสียง เห็นควรไม่อุทธรณ์คดี นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนทราบว่าการอุทธรณ์ยังอยู่ระหว่างการจัดส่งหมายอุทธรณ์ แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2568 ตนได้ไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และไปยื่นหนังสือบอกกล่าวต่ออัยการสูงสุดว่า “อำนาจที่ท่านไปฝ่าฝืนมติของคณะกรรมการที่ท่านตั้งขึ้น ไม่ว่าจะมติ 7:2 หรือมติ 8:2 ก็ตาม ท่านในฐานะที่นั่งเป็นประธาน ท่านไม่สามารถใช้อำนาจของตัวเองไปหักมติหรือฝ่าฝืนมติคณะทำงานได้ เพราะคณะทำงานถือว่าเมื่อตั้งขึ้นแล้วก็จะมีอำนาจเด็ดขาด ไม่ใช่กระบวนการตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 ที่อัยการสูงสุดจะใช้อำนาจพิจารณาสั่งคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งเรามองว่าเป็นคนละขั้นตอน เรื่องนี้ถ้าท่านจะใช้อำนาจตรงนี้ ท่านก็ไม่ควรตั้งคณะทำงานขึ้นมาแต่แรก แต่เมื่อมีคณะทำงานและมีมติออกมาแล้ว ก็ต้องเคารพมติ ซึ่งกระบวนการนี้เราเห็นว่ามันไม่ชอบและไม่ถูกต้องแต่แรก”
...
ทั้งนี้ นายวิญญัติ มีข้อมูลด้วยว่าอัยการสูงสุดได้ไปที่ไหนเพื่อพบกับใคร เราก็สงสัย และเราก็พูดไปเพื่อเตือน ซึ่งวันที่ 26 ธันวาคม ตนก็ได้เตือนเป็นหนังสือไปยังอัยการสูงสุดเพื่อขอให้ท่านทบทวนใหม่ หลังจากนั้น 1-2 วันก็มีข่าวว่าบุตรสาวของท่านไปลงสมัครกับพรรคภูมิใจไทย ฉะนั้น ข้อที่เราสงสัย และประชาชนก็เห็นว่าอัยการสูงสุดมีการดำเนินการฝ่าฝืนมติของคณะทำงาน และยังใช้อำนาจตัวเอง แล้วจากนั้นลูกสาวตัวเองก็ไปลงสมัครพรรคภูมิใจไทย มันทำให้คนสงสัยว่าพวกท่านกำลังมีดีลอะไรหรือไม่ หรือท่านกำลังทำตามที่ใครขอหรือไม่
นายวิญญัติ เผยต่อไปว่า ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบและเป็นทนายความของนายทักษิณ เห็นว่าอัยการสูงสุดใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้อง และไม่เป็นไปตามมติของคณะทำงาน เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบและกฎหมายของอัยการเอง จึงขอให้ท่านได้อธิบาย แต่ในทางการเมืองก็เป็นสิทธิของลูกสาวท่านที่จะลงสมัครกับพรรคใดก็ตาม แต่มันก็ทำให้เราต่อจิ๊กซอว์หรือคิดอะไรต่อได้ใช่หรือไม่
อย่างไรก็ดี ตอนนี้รอหนังสือตอบกลับจากทางอัยการสูงสุดทุกรายการที่ขอคัดถ่ายสำเนาไป เพื่อจะได้เอาเอกสารเกี่ยวกับคดี รายละเอียดมติ ข้อพิจารณาสั่งการของท่านไปตรวจดูว่าเหตุใดท่านจึงไม่เคารพ หรือไม่เอาตามมติคณะทำงาน จนเป็นเหตุมีคำสั่งให้อุทธรณ์ ท่านใช้อำนาจคนเดียวได้หรือไม่ และการที่ท่านบอกว่าเป็นการใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา มาตรา 20 ซึ่งมันคือชั้นสอบสวนใช่หรือไม่ หรือเป็นคดีนอกราชอาณาจักร อย่างไร หากใช่ ทำไมท่านจึงตั้งคณะทำงานแต่ตอนแรก เราขอคำอธิบายตรงนี้ที่ท่านต้องตอบ โดยหากมันไม่สมเหตุสมผล เราก็สามารถใช้พิจารณาดำเนินคดีภายหลังได้ ซึ่งเราก็ต้องดูหลักฐานของเราเพื่อนำไปใช้แก้ หรืออุทธรณ์ต่อไป
ในตอนท้าย นายวิญญัติ เผยด้วยว่า “เรื่องการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายของอดีตนายกฯทักษิณ ครั้งล่าสุด (ครั้งที่ 2) ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของสำนักงานราชเลขาฯ ซึ่งเราไม่อาจก้าวล่วงได้ เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ ซึ่งในฐานะปวงชนราษฎรไทย เราก็ต้องรอไปก่อน”