“อภิสิทธิ์” เตือนเลือกตั้ง 2569 แข่งดุ ย้ำหากการเมืองไม่เปลี่ยน เศรษฐกิจไทยติดหล่มยาว ยอมรับประชานิยม ยังจำเป็น แต่ไม่ใช่ต้องพึ่งพาตลอด ตั้งเป้ามุ่งเพิ่ม สส.ปาร์ตี้ลิสต์ หลายเท่าตัว
วันที่ 30 ธันวาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงภาพรวมการเมืองในปี 2569 ว่า ประเทศไทยเริ่มต้นปีใหม่ท่ามกลางบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่มีการแข่งขันสูง เพราะมีหลายพรรคการเมือง ที่ตั้งใจจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคที่อาจเข้ามาเป็นตัวแปรทางการเมือง เลือกตั้งครั้งนี้จึงเข้มข้นเป็นพิเศษ ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญของประเทศ ว่าประชาชนต้องการให้การเมืองเป็นจุดเปลี่ยนหรือไม่ เพราะประชาชนเริ่มตระหนักว่าทำไมประเทศไทยจึงพัฒนาได้ช้ากว่าหลายประเทศ ทั้งนี้ ความจำเป็นในอนาคตประเทศต้องมีเศรษฐกิจที่ดีและเข้มแข็งเพื่อสร้างรายได้เพียงพอสำหรับการดูแลผู้สูงอายุ และเสริมความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนในมิติอื่นๆ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นโอกาสในการพลิกการเมืองไปสู่ความสุจริต หรือจะยังคงอยู่ในสภาพที่พรรคการเมืองพูดถึงเพียงข้อตกลงระหว่างกันโดยไม่ชัดเจนว่าประเทศจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
“หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วเป็นแบบเดิมๆ เราก็จะอยู่ในสภาพการเมืองและเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ถ้ามันเปลี่ยนแปลงได้ ก็จะเป็นโอกาสให้ประเทศเราเปลี่ยนแปลง และเดินต่อไปได้”
ส่วนที่ขณะนี้พรรคการเมืองต่างๆ ยังวนอยู่กับพฤติกรรมเดิมๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่กวาดต้อน สส. เข้ามาสังกัดพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถาม โดยยกตัวอย่างผลสำรวจของนิด้าโพลในแต่ละไตรมาส ที่พบว่าเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มประชาชนที่ตอบว่า ยังไม่เลือกใคร หรือไม่มีใครให้เลือก กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบทบาทของ “ทุนทางการเมือง” ที่เข้ามาอย่างมหาศาลในครั้งนี้ว่า ทุนเหล่านี้เข้ามาอย่างไร มีที่มาแบบใด และอยู่ภายใต้สีทางการเมืองแบบไหน หากปล่อยให้เงินเข้ามาซื้อทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศ รวมถึงการซื้ออำนาจ และการหลีกเลี่ยงการอยู่ภายใต้กฎหมาย จะส่งผลกระทบต่อระบบการเมืองและประเทศในระยะยาวอย่างไร จึงถือเป็นโอกาสสำคัญว่า เราจะปล่อยให้การเมืองเป็นแบบนี้ต่อไปหรือไม่ หรือเราจะเลือกอยู่กันแบบไหน และจะพาประเทศเดินไปในทิศทางใด
...
ส่วนสภาพเศรษฐกิจที่ประชาชนต้องห่วงปากท้องตนเอง กับสิ่งที่คาดหวังจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่า ห้ามพี่น้องประชาชนรับเงิน หากมีใครเอามาให้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า จะเลือกทำไม ที่ผ่านมาหลายคนรู้สึกดีที่ได้รับโครงการประชานิยม เช่น โครงการคนละครึ่ง นั่นเพราะเขามีสิทธิ์ที่จะได้และพึงพอใจ แต่ไม่เหมือนกับการอยู่ดีๆ มีคนมาขอซื้อสิ่งที่เป็นอำนาจของเราในการกำหนดอนาคตประเทศ ตรงนี้ไม่เหมือนกัน
“ผมไม่ได้มองโลกสวย แต่มองตามความเป็นจริงว่า ถ้าเราอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกคนเดือดร้อนหมด จะเหลือคนหยิบมือเดียวที่ยังเหลือความพึงพอใจสภาพแบบนี้ ผมยังไม่กล้าฟันธง ถึงบอกว่ามันเป็นบททดสอบ แต่เชื่อว่าวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าวันนี้ผมจับจากอารมณ์ของคน ก็มีความคิดที่จะท้าทายการเมืองแบบปัจจุบันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเพียงพอหรือไม่ เราจะได้คำตอบในวันเลือกตั้ง เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้ประชาชนจำนวนมาก มีความไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยืนยันชัดเจนตั้งแต่วันที่กลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งแล้วว่า ต้องการให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีทางเลือกอยู่ หากครั้งนี้ยังไม่เกิดจุดเปลี่ยน ก็หวังว่า เราจะสามารถจุดประกายให้เห็นว่าประเทศยังมีทางเลือก ที่ไม่ใช่แค่เพียงการเมืองที่ทำข้อตกลงกัน จะ MOU หรือ MOA อะไรก็ตาม ส่วนที่มองว่า คะแนนนิยมของพรรคที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวนายอภิสิทธิ์ หรือสิ่งที่นำเสนอ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อยากให้มองที่ตัวบุคคล แต่ตนได้พิสูจน์แล้ว คือความชัดเจนตรงไปตรงมา ที่ประกาศว่า มีความคิดการเมืองเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมันไม่เป็นตามที่ต้องการ ตนก็สละทุกตำแหน่งทางการเมืองเพื่อยืนหยัดทางความคิดนั้น ซึ่งน่าจะเป็นจุดหนึ่ง ที่คนมองหานักการเมืองที่วันหนึ่งพูดอย่างนี้ แต่อีกวันทำเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า หรือจะบอกว่าทดลองหรืออะไรก็ตาม แล้วไปทำข้อตกลง มันได้เห็นถึงความแตกต่าง
เมื่อถามถึงจุดอ่อนของพรรคประชาธิปัตย์มีอะไรบ้างที่จำเป็นต้องปิดในการเลือกตั้งที่จะมาถึง นายอภิสิทธิ์ กล่าวยอมรับว่า พรรคที่อยู่มานานย่อมมีทั้งความสำเร็จและล้มเหลว มีทั้งสิ่งที่คนชอบและไม่ชอบ และเมื่อเราตัดสินใจเดินในแนวทางที่ต้องเอาคนใหม่ๆเข้ามา แต่ประสบการณ์ทางการเมืองก็อาจจะน้อยลงไป จึงถือเป็นจุดแข็งและจุดอ่อนก็ได้ ยิ่งเมื่อทุกอย่างใหม่และมาเจอกรอบเวลาที่สั้น จำกัด ทำให้เราต้องเร่งทำ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ เราคงสามารถพูดได้มั่นใจว่า จะสามารถผลักดันอะไรต่างๆ ได้
ส่วนการตั้งเป้าจำนวน สส. เท่าไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนพูดได้อย่างเดียวคือ ต้องทำให้ สส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นให้มากกว่าเดิมหลายเท่า ดูเหมือนเราจะมาถูกทางอยู่ เมื่อดูจากโพล แต่ก็ยังต้องทำงานหนัก เพื่อรักษาคะแนนของเดิมและต้องขยายเพิ่มขึ้นด้วย ในอดีตเราเคยได้ประมาณ 11 ล้านเสียง ซึ่งคงยากที่จะกลับไปแบบนั้นในระยะเวลาแบบนี้ และเลือกตั้งครั้งล่าสุดเราได้เพียง 9 แสนคะแนน ที่ตนใช้ว่าคำว่าหลายเท่าตัวคือ ต้องทำให้ได้หลายล้านคะแนนเสียง ส่วนในสนามเลือกตั้งภาคใต้ ตนไม่กล้าที่จะเจาะจงขนาดนั้น แต่จากการไปช่วยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่และพื้นที่อื่นๆ ได้รับการตอบรับที่ดีมาก และมีคนที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ กว่า 50-60 เปอร์เซ็นต์ ดูเหมือนจะเริ่มจะทยอยกลับมาและพูดชัดว่าจะกลับมาให้การสนับสนุนอีกครั้ง
ส่วนสนามกรุงเทพฯ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นจากที่เห็นผู้สมัครรุ่นใหม่ที่เข้ามา ตนค่อนข้างดีใจที่มีคนเก่งๆ และมีมุมมองในการแก้ปัญหาอาสาตัวเข้ามา อาจจะมีข้อเสียเปรียบคือไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่เที่ยวนี้ตนมองว่ามีความเปลี่ยนแปลงในภาพของคนที่มองทั้งผู้สมัครและพรรค โดยเราจะพยายามเต็มที่ที่จะดึงฐานเสียงเดิมกลับมา รวมถึงพื้นที่ภาคใต้ด้วย ที่แม้จะได้รับเสียงตอบรับดี แต่หากประชาชนมีความคิดเลือกใช้เกณฑ์ในการเลือกบัญชีรายชื่อและสส.คนละแบบก็อาจจะยังเหนื่อยอยู่ แต่จะพยายามทำให้เห็นว่าที่สุดแล้วไปแยกแบบนั้นไม่ได้
“จะมองว่าเลือกปาร์ตี้ลิสต์เป็นการเลือกรัฐบาล ส่วน สส.เขตเป็นการเลือกนายกฯ นั้นไม่ได้ ตรงกันข้ามใครจะได้เป็นรัฐบาลหรือนายกฯ มันอยู่ที่ สส.เขตว่าโดยรวมได้เท่าไร เพราะมีมากกว่าจำนวน สส.ปาร์ตี้ลิสต์ 4 เท่า หากทำให้ประชาชนเข้าใจแบบนี้ได้ ผมคิดว่าคะแนนเสียงที่เราได้รับจากคะแนนพรรค ก็จะช่วยการเลือกตั้งเขตได้ ยืนยันว่าประชาธิปัตย์ต้องการตอบโจทย์ให้คนทุกภาค แม้ที่ผ่านมาพื้นที่อีสานเราไม่ได้เข้มแข็งนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสนใจ แต่เท่าที่ผมประเมินทั้งหมดแล้วเราน่าจะได้คะแนนบัญชีรายชื่อมากกว่า เพราะเชื่อว่าครั้งนี้การแข่งขันแบบเขตจะมีความรุนแรงอย่างมาก”
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงนโยบายที่ใช้ในการรณรงค์หาเสียงว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องมีนโยบายแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเช่นกัน แต่เป้าหมายสำคัญคือการเสนอแนวทางที่สามารถ “เปลี่ยนหรือพลิก” ประเทศให้เดินหน้าได้จริง ไม่ใช่เพียงรอคอยนโยบายที่หวือหวาในทุก ๆ รอบการเลือกตั้ง ตนไม่เชื่อว่า นโยบายที่หวือหวา จะตอบโจทย์ประเทศได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน เราคิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุด และพยายามสื่อสารให้ดีที่สุด ยอมรับว่า นโยบายประชานิยมช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยังมีความจำเป็น เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” ที่ช่วยบรรเทาความลำบากของประชาชนได้จริงในช่วงวิกฤต แต่ไม่สามารถหวังพึ่งได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพราะล้วนเป็นภาระงบประมาณของรัฐ และหากไม่มีการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจด้านอื่น ภาครัฐย่อมหมดกำลังในที่สุด ดังนั้นการสร้างสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเฉพาะหน้า กับการวางรากฐานระยะยาวเพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน ไม่ติดอยู่ในวงจรเดิมของนโยบายระยะสั้นเพียงอย่างเดียว