“ยศชนัน” ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร สส.กทม. พรรคเพื่อไทย หาเสียงย่านสายไหม เจอหอมฟอดใหญ่ ปลื้มนโยบายเข้าถึงประชาชน “จุลพันธ์” หวั่นเปลี่ยนตัวเกิดปัญหาภายหลัง ปมถูกทำลายป้ายให้เป็นหน้าที่ตำรวจ
เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 30 ธันวาคม 2568 ที่ตลาดวัดเกาะ เขตสายไหม กทม. นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 2 นำ น.ส.รัตติกาล แก้วเกิดมี ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 11 รวมถึงผู้สมัคร สส.กทม. พรรคเพื่อไทยอีกหลายเขต ลงพื้นที่หาเสียง
โดยทันทีที่เดินทางมาถึง นายยศชนัน ได้แนะนำผู้สมัครและขอคะแนนให้กับพรรคเพื่อไทยทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ ซึ่งประชาชนให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น มีประชาชนมารอมอบดอกกุหลาบ พวงมาลัยดอกดาวเรือง และขอถ่ายรูปเซลฟี่กับนายยศชนันอย่างคึกคัก ในช่วงหนึ่งมีแม่ค้าเข้ามาสวมกอดพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่ ทำให้นายยศชนันถึงกับยิ้มเขิน นอกจากนี้ นายยศชนัน ยังได้ร่วมทำบุญตักบาตรร่วมกับผู้สมัคร สส.กทม. ก่อนจะเดินหาเสียงมาจนถึงท้ายตลาด และร่วมดื่มกาแฟพูดคุยรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่
...
จากนั้น นายยศชนัน ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ในช่วงเช้านี้ว่า เป็นบรรยากาศที่ครึกครื้น ได้กำลังใจอย่างล้นหลาม สิ่งสำคัญประชาชนเริ่มจำนโยบายของพรรคเพื่อไทยได้ แสดงให้เห็นว่าเป็นนโยบายที่เข้าถึงประชาชน แนวทางนโยบายคือการลดรายจ่าย หากเศรษฐกิจดีรายได้เพิ่มขึ้น รายจ่ายน้อยลง และมีนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อีกเรื่องเกี่ยวกับหนี้ ทุกคนยังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่จะต้องทำเรื่องนี้ก่อน และอีกตัวที่ทำได้เลยและเป็นความแตกต่าง คือการทำนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สามารถทำได้เลย เรื่องเกี่ยวกับการคมนาคมขนส่งในจุดที่ไม่มีรถไฟฟ้า จะเป็นฟีดเดอร์ที่สามารถยึดโยงได้ เป็นเรื่องราคา 10 บาท เป็นนโยบายที่สำคัญและประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี สิ่งที่สำคัญคือการทำให้นโยบายเกิดขึ้นทันทีหลังได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
เมื่อถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับพรรคประชาชนซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญจนมีการเปลี่ยนตัวผู้สมัครใน กทม. จะส่งผลดีต่อพรรคเพื่อไทยในช่วงหาเสียงหรือไม่ นายจุลพันธ์ ตอบว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้มองว่าจะส่งผลดีต่อพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ กทม. หรือไม่ เป็นสิ่งที่แต่ละพรรคการเมืองจะต้องคัดสรรผู้สมัคร ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพยายามคัดสรรอย่างดีที่สุด พร้อมมองการคัดสรรของพรรคประชาชนว่าอาจเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้จะต้องมีการปรับแก้เอง ยอมรับห่วง 2 เรื่อง คือ 1. กรณีหาก กกต. ดำเนินการให้เปลี่ยนแปลงผู้สมัครได้ และ 2. เมื่อเปลี่ยนตัวแล้วต้องให้ประชาชนพิจารณาว่าผู้สมัครและพรรคการเมืองใดตอบโจทย์ประชาชน หลักคิดไม่ให้มีการเปลี่ยนหลังจากสมัคร ในอดีตเคยมีการใช้อามิสสินจ้างไปขอกดดันเพื่อให้ผู้สมัครถอนตัวเกิดขึ้นได้ หากเราเปิดช่องนี้ในอนาคตอาจจะเกิดปัญหาที่ใหญ่กว่า ในพรรคเพื่อไทยดูแล้วกระบวนการสมัครเมื่อสมัครแล้วไม่ควรมีการถอนตัวได้
ขณะเดียวกัน นายจุลพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีป้ายหาเสียงของผู้สมัครพรรคเพื่อไทยใน กทม. ถูกทำลาย ซึ่งทุกเคสมักเกิดมาจากการลงมือของพรรคเดียวว่า ไม่ได้โทษผู้สมัคร เชื่อว่าไม่มีใครสั่งเช่นนั้น ด้วยความเคารพกันและกัน ด้วยพรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์เลือกตั้งมาหลายครั้งระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก มีการกำชับผู้สมัครห้ามทำลายป้ายของคนอื่น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นหน้าที่ของตำรวจดำเนินการ.