“สุไพรพล” ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 33 พรรคเพื่อไทย ชี้ การเมืองยืนบนความถูกต้อง ต้องคัดกรองเข้มก่อนส่งลงสนาม หลังผู้สมัครบางพรรคถูกจับ ไม่มองได้เปรียบ-เสียเปรียบ ขอทำเต็มที่รับใช้ประชาชน
วันที่ 29 ธันวาคม 2568 นายสุไพรพล เพ็ญแข (คู่ชีวิตของนายจักรภพ เพ็ญแข) ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร เขต 33 พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ผู้สมัครจากบางพรรคในพื้นที่เดียวกันเผชิญปัญหาทางกฎหมาย โดยระบุว่า ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลจากการนำเสนอข่าวอยู่แล้ว และเชื่อว่าประชาชนจะใช้วิจารณญาณพิจารณาบนหลักความถูกต้องในการตัดสินใจเลือกผู้แทน
ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญกับกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครอย่างรอบคอบ ตั้งแต่ขั้นตอนการกรอกประวัติ การยินยอมให้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรม รวมถึงข้อมูลด้านภาษี โดยพรรคยึดหลักกฎหมาย ความยุติธรรม และความน่าเชื่อถือเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้สมัครเป็นแบบอย่างที่ดีและได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พร้อมมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการผู้แทนซึ่งสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาปากท้อง และผลักดันนโยบายของพรรคให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ หากมีเรื่องใดที่ไม่ถูกต้องย่อมทำให้ประชาชนสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
นายสุไพรพล ระบุต่อไปว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการทราบมากที่สุดคือ หากเลือกใครเข้าไปทำหน้าที่เป็นผู้แทนแล้วจะได้รับประโยชน์อะไร และผู้แทนคนนั้นจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น การสื่อสารนโยบายที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่านโยบายมีความครบถ้วนและสอดคล้องกับความต้องการจริงหรือไม่
...
ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตนเองได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่ นายสุไพรพล ตอบว่า ไม่ได้มองในมุมของความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ แต่ให้ความสำคัญกับความคาดหวังของประชาชนมากกว่า โดยย้ำว่าประชาชนต้องการผู้นำที่เป็นคนดี มีคุณค่า ได้รับการยอมรับในสังคม และมาช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชน ทั้งนี้ ความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อผู้แทนถือเป็นเรื่องใหญ่ พรรคการเมืองจึงควรมีกระบวนการคัดกรองผู้สมัครอย่างเข้มงวด เพราะหากมีการปกปิดหรือไม่เปิดเผยข้อเท็จจริง เมื่อเกิดปัญหาขึ้นอาจสายเกินไปที่จะแก้ไข
พร้อมกันนี้ ยอมรับว่าเมื่อทราบข่าวรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากกระบวนการต่างๆ ทั้งการจับหมายเลขผู้สมัครและแผนการหาเสียงได้เตรียมการไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องกลายเป็นกระแสข่าวย่อมทำให้เกิดคำถามต่อทิศทางการเลือกตั้งในพื้นที่ ซึ่งตนมองว่าสิ่งที่ทำได้คือการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อแสดงศักยภาพให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ พร้อมฝากถึงประชาชนในเขตเลือกตั้งที่ 33 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เขตบางพลัด และเขตบางกอกน้อย ให้ติดตามและพิจารณากระบวนการทางกฎหมายของประเทศ พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าหาเสียงและสื่อสารนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เป็นรูปธรรม เพื่อเข้ามารับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ต่อไป.