“อภิสิทธิ์” นำทีมว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. ประชาธิปัตย์ สักการะศาลหลักเมือง ปลุกขวัญกำลังใจสู้ศึกเลือกตั้ง ย้ำไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่มีนโยบายสร้างความแตกแยก 

วันที่ 26 ธันวาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรองหัวหน้าพรรค ประกอบด้วย ดร.การดี เลียวไพโรจน์ นายกรณ์ จาติกวณิช และนายสกลธี ภัททิยกุล และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้นำว่าที่ผู้สมัคร สส.กทม. “กรุงเทพฯฟ้าใหม่” ทั้ง 33 เขต สักการะศาลหลักเมือง

...

โดยนายสกลธี ภัททิยกุล รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า วันนี้ ถือเป็นวันฤกษ์ดี อีกทั้งวันพรุ่งนี้ (27 ธ.ค.) เป็นวันแรกที่เปิดรับผู้สมัคร สส.กทม. และเพื่อเป็นการปลุกพลัง และเพิ่มพลังใจ ให้แก่ผู้ลงสมัคร สส. ในเขตกรุงเทพฯ ของพรรค ก่อนการสมัครและก่อนการเลือกตั้ง ที่จะถึงนี้

“ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย อีกทั้งยังเป็นความเชื่อของนักการเมือง และเป็นธรรมเนียมในการมาสักการะศาลหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล พร้อมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กลุ่ม “กรุงเทพฯฟ้าใหม่” พร้อมก่อน เดินก่อน ทั้ง 33 คน ก่อนการเลือกตั้ง และก่อนการสมัครในวันพรุ่งนี้ด้วย”

นายสกลธี ย้ำว่า พรุ่งนี้เมื่อผู้สมัคร สส.กทม. ทั้ง 33 เขต ของพรรคประชาธิปัตย์ ไปสมัครและได้เบอร์เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นทั้ง 33 ผู้สมัคร ก็จะลงพื้นที่ เพื่อหาเสียงทันที เพราะตนยึดหลัก “กรุงเทพฯฟ้าใหม่” พร้อมก่อน เดินก่อน

“ในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ ยังเป็นการปล่อยขบวนทัพ ทีม สส.กทม. ประชาธิปัตย์ 33 เขต ลงพื้นที่หาเสียงทันที “กรุงเทพฯฟ้าใหม่ พร้อมก่อน เดินก่อน”

นายสกลธี กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนมั่นใจในเรื่องความพร้อมของทีมผู้สมัคร สส.กทม. ทั้ง 33 เขต ของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากทุกคนได้รับการคัดสรรมาหลายขั้นตอน โดยทุกคนมีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับของคณะกรรมการสรรหา และบอร์ดบริหารพรรคมาแล้ว

“ผมมั่นใจ สส.กทม.ของพรรค จะนำความรู้ความสามารถ ที่แต่ละคนมีอยู่ พร้อมนำออกมาช่วยพัฒนาชีวิตคนกรุง และกรุงเทพมหานคร ได้ทันที และจากกระแสโพลของพรรค ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ ผมคาดหวังเราจะสามารถทวงพื้นที่ กทม.กลับคืนมา”

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กรณีที่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคว่า วันนี้ตามเวลานัดหมายคือเวลา 10.00 น. ใครยังเดาไม่ออกคิดว่าสามารถเดาได้แล้ว โดยบุคคลทั้ง 3 รายชื่อ มีที่มาเหมือนกันในเรื่องของความคิด ความตั้งใจ และวิสัยทัศน์ อีกทั้งยังเคยทำงานร่วมกันในสถานะ โอกาสต่างๆ ซึ่งตนเองมีความมั่นใจว่า เรามองอนาคตของประเทศที่เราอยากเห็นร่วมกัน ฉะนั้นการทำงานของทั้ง 3 คนจะมีความกลมกลืน โดยก่อนหน้าที่จะเป็นรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 3 คน ได้มีโอกาสพูดคุยกันหลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องของนโยบายที่จะใช้ในการรณรงค์หาเสียง

ส่วนถ้าเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่นๆ คิดว่าประชาธิปัตย์ได้เปรียบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า จะไม่ไปเปรียบเทียบ แต่จะอธิบายให้เห็นที่มาของการคัดเลือกแคนดิเดตทั้ง 3 คน อยากให้ประชาชนมั่นใจว่าแคนดิเดตทั้ง 3 คน จะมีความกลมกลืนและยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกัน มีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน ส่วนเรื่องกระแสของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสพบปะกับประชาชน ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดี ตนเองเชื่อว่าประชาชนคงต้องใช้เวลาประมาณ 40 วันที่เหลือ ในการเปรียบเทียบเพื่อตัดสินใจ ซึ่งตัวเองก็อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะไม่อยากให้ประเทศไทยติดหล่มกับสภาพเศรษฐกิจการเมืองช่วงที่ผ่านมา อยากให้ประชาชนพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่าโอกาสนี้คือโอกาสสำคัญที่เราจะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากสภาพนี้ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ทุกคนสามารถมีความเป็นอยู่ที่ดี มีสังคมที่สงบสุขเพื่อให้ประเทศไทยกลับมาผงาดอยู่บนเวทีสากลได้

สำหรับเรื่องแคมเปญ ขณะนี้เราไล่เรียงกันมาโดยเริ่มต้นพูดถึงปัญหาที่เป็นอยู่ กับอารมณ์ที่สัมผัสได้ของประชาชนในเรื่องที่ประชาชนเหนื่อยท้อและทน ซึ่งวันนี้เป็นโอกาสที่จะหลุดพ้นจากสภาพนั้น เราจึงเปิดประเด็นเรื่องของไทยหายจน ซึ่งคำว่าจน ไม่ได้หมายถึงจนเงินเพียงอย่างเดียว จากนั้นจะทยอยเปิดนโยบายที่จะเป็นคำตอบว่า การแก้ปัญหาความจนแต่ละด้านจะเป็นอย่างไร สำหรับ 3 คนที่จะมีการประกาศรายชื่อในวันนี้ มีความชัดเจนว่าจะไม่มีการประกาศลอยๆ แต่จะระบุถึงเป้าหมายที่เป็นตัวชี้วัดในการประเมินหากพรรคได้มีโอกาสไปทำงาน เช่น ได้ประกาศว่าภายใน 4 ปี เศรษฐกิจไทยต้องกลับมาเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 5 แบบที่เคยทำมาในอดีต เราประกาศชัดว่าหากเศรษฐกิจโตหนี้สินของภาคประชาชน ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 80 ถึง 90 จะต้องลดลงมาเหลือประมาณร้อยละ 60 ซึ่งสามารถทำได้ด้วยบ้านเมืองสุจริต หมายความว่าประเทศไทยต้องไม่ถูกจัดอันดับอยู่ที่ลำดับ 107 แต่ต้องกลับไปอยู่ในจุดลำดับอย่างน้อยคือสมัยที่ตนเองได้ทำงาน คือลำดับที่ 80 โดยเครื่องมือที่จะใช้ นอกจากการสร้างบ้านเมืองที่สุจริต จะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี การปรับรื้อกฎหมายหรือการเพิ่มพูนทักษะให้กับผู้คน จะเป็นคำตอบให้กับประชาชนในทุกๆ เรื่องอย่างไร

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองในเรื่องของวาทกรรมโวหาร ล่าสุดมีการประกาศไม่เอาพรรคกล้าธรรมและมีการตอบโต้กันไปมา นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องของวาทกรรม เป็นความตั้งใจของตนเองที่มีการประกาศและจะทำจริง ซึ่งตัวเองไม่ได้มีปัญหาอะไรและไม่ได้มีความประสงค์จะไปตอบโต้ โดยตัวเองได้แสดงจุดยืนที่คิดว่ามีความสำคัญ และคิดว่าสิ่งที่ได้ประกาศไปคือสิ่งที่รับฟังมาจากประชาชนจำนวนมาก ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองหลุดพ้นจากสภาพปัจจุบัน”

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกมองว่าอาจจะไม่อยากทำงานร่วมกับพรรคประชาชน นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวกันเลย ที่ผ่านมามีความพยายามที่จะตีความ บางครั้งมีการยัดเยียดว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้และมาตั้งประเด็น ทั้งที่ความจริง ตัวเองพูดชัดเจนที่สุดในกรณีที่คนเป็นห่วงเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ตัวเองได้พูดชัดเจนว่านโยบายที่สร้างความแตกแยก เราจะไม่สนับสนุนและไม่ไปร่วมกับรัฐบาลที่มีนโยบายเช่นนั้น หากพรรคการเมืองไหนมีนโยบายอย่างนั้น เราก็จะไม่ไปร่วมอยู่แล้ว ซึ่งตัวเองไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมจึงมีความพยายามยัดเยียดหรือตีความให้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้พูด

เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ อยากจะร่วมจับมือกับพรรคแบบไหน นายอภิสิทธิ์ ตอบว่า อยากจะร่วมกับทุกพรรคที่อยากสร้างบ้านเมืองสุจริตและมีวิสัยทัศน์ชัดเจน และจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอย่างไร