“ศรีสุวรรณ” ยื่นร้อง กกต. สอบ “อนุทิน” พูดเปิดเวทีพรรคภูมิใจไทย บอก “ยังติดเงินพี่น้อง 2,400 ขอให้ผมได้มีโอกาสกลับมาใช้หนี้พวกท่าน” ส่อเข้าข่ายหาเสียงสัญญาว่าจะให้
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ให้ไต่สวนและสอบสวน กรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่งพลัส บนเวทีเปิดนโยบายของพรรคภูมิใจไทย เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง 2569 เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา ที่โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ความตอนหนึ่งว่า “ผมยังติดเงินพี่น้องอยู่ 2,400 บาท ขอให้ผมและพรรคภูมิใจไทย ได้มีโอกาสกลับมาใช้หนี้ พวกท่านเถอะครับ” นั้น เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้หรือไม่
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 (1) บัญญัติเป็นข้อห้ามในการหาเสียงไว้ชัดเจนว่า “ห้ามมิให้ผู้สมัคร หรือผู้ใดกระทำการจูงใจ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตน โดยจัดทำ ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด”
...
ดังนั้นพฤติการณ์หรือคำพูดดังกล่าวของนายอนุทิน อาจชี้ให้เห็นได้ว่าเป็นการ “โปรโมทแจกเงิน” ซึ่งในเชิงกฎหมายเลือกตั้งแล้วอาจถือได้ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะผิดกฎหมายมาตราดังกล่าวด้วยเหตุผล ดังนี้ 1. มีการพูดถึงจำนวนเงินต่อคนแบบเฉพาะเจาะจง 2. ผูกข้อความกับการให้โอกาสทางการเมือง/การเลือก 3. คนทั่วไปสามารถตีความได้ว่าเลือกแล้วจะได้ประโยชน์เป็นเงิน
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตามแนวปฏิบัติของ กกต. นั้น แม้จะยังไม่มีการแจกจริง หรืออ้างว่าเป็นเพียงแนวคิด นโยบายเท่านั้น แต่หากผู้สมัคร สส. และ/หรือสมาชิกพรรคหรือผู้ช่วยหาเสียงของพรรค นำคำพูดหรือข้อความดังกล่าวไปสื่อสารในลักษณะสัญญาว่าจะให้เงินเพื่อจูงใจคะแนนเสียง ก็อาจถือได้ว่าเสี่ยงเข้าข่ายความผิด ครบองค์ประกอบในข้อห้ามดังกล่าว อย่างชัดเจน ดังนั้นตนจึงมาร้องเรียนเรื่องนี้เพื่อแจ้งเบาะแสให้ กกต. ได้ดำเนินการไต่สวนและสอบสวนนายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทยว่าคำพูดในลักษณะเยี่ยงนี้และในการหาเสียงของบรรดาผู้สมัคร สส. สมาชิกและผู้ช่วยหาเสียงของพรรคนี้ นำคำพูดเช่นนี้ไปหาเสียงจะเข้าข่ายเป็นสัญญาว่าจะให้ ต้องห้ามตามกฎหมายมาตราดังกล่าวหรือไม่ หากเข้าข่ายต้องดำเนินการเอาผิดตามมาตรา 158 ซึ่งมีอัตราโทษ 1-10 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปีด้วย ซึ่งหวังว่า กกต. จะปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัดไม่เลือกที่รักมักที่ชังสมกับสโลแกนที่ว่า “สุจริต เที่ยงธรรม และเป็นไปตามกฎหมาย”