ปชป. จี้ ก.ล.ต. เตือนนักลงทุน ระวังซื้อหุ้นจากขบวนการสแกมเมอร์ เสี่ยงติดร่างแหฟอกเงิน กำชับโบรกเกอร์ ตรวจสอบเข้ม ผู้ขายหุ้นเป็นใคร
วันที่ 25 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรค ยื่นหนังสือพร้อมข้อมูลหลักฐานต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ดำเนินการกับกลุ่มสแกมเมอร์ที่ใช้ตลาดหุ้นไทยฟอกเงิน จนนำไปสู่การยึดและอายัดทรัพย์ 10,165 ล้านบาท ของขบวนการสแกมเมอร์ในประเทศไทย เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม นายกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ใกล้การเลือกตั้ง มีความพยายามที่จะขายหุ้นที่อยู่ในบัญชีนอมินีที่ไม่ได้ถูกอายัด แต่เจ้าของที่แท้จริงก็คือกลุ่มฟอกเงิน เพื่อจะยักย้ายถ่ายเทเม็ดเงินออกจากบัญชีหุ้นที่กลุ่มนี้ถืออยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์มีความกังวล และได้เตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินของกลุ่มสแกมเมอร์นอกเหนือจากที่ได้มีการอายัดไปแล้ว
นายกรณ์ กล่าวว่า ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือแจ้งไปยัง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่าจะต้องเร่งแจ้งเตือนนักลงทุน ให้ระมัดระวังในการเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทจดทะเบียนอย่างน้อยที่สุด 7 บริษัทที่ทาง ก.ล.ต. เคยประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน ว่าเป็นบริษัทที่กำลังถูกสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มฟอกเงินและกลุ่มสแกมเมอร์หรือไม่
“เราต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้พวกเราไปรับซื้อหุ้นจากกลุ่มฟอกเงินที่พยายามผ่องถ่ายหุ้นออกจากบัญชีของตน ดีไม่ดีอาจถูกกล่าวหาได้ในอนาคตว่ามีส่วนรู้เห็นสมคบกับการฟอกเงินของคนกลุ่มนี้ ก.ล.ต. ควรแจ้งเตือนให้ทราบว่ามีอันตรายนี้ และขอให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะในกรณีการรับซื้อหุ้นบิ๊กล็อต”
...
นายกรณ์ กล่าวต่อไปว่า ผู้ที่มีหน้าที่ประเมิน และต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่า เจ้าของหุ้นที่แท้จริงคือใคร ก็คือตัวบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ที่รับออเดอร์ขายหุ้นมา ดังนั้น ก.ล.ต. ต้องกำชับโบรกเกอร์ด้วยว่า ให้ตรวจสอบเข้มงวดเป็นพิเศษกับกลุ่ม 7 บริษัทดังกล่าว ว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของที่แท้จริง
จี้ตรวจสอบบอร์ดบางจาก เปิดทางกลุ่มทุนเทายึดบริษัท
นายกรณ์ กล่าวว่า กลุ่มฟอกเงิน สแกมเมอร์ ไม่สามารถปฏิบัติการได้หากไม่มีคนไทยร่วมมือ การอายัดเงินที่ผ่านมาเป็นการอายัดเงินของต่างชาติที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นสแกมเมอร์ แต่ยังไม่ได้มีการขยายวงออกไปยังคนไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งในจดหมายที่จะส่งไป ก.ล.ต. ได้ระบุด้วยว่า ควรที่จะมีการตรวจสอบบริษัทที่ขบวนการสแกมเมอร์เข้าถือหุ้นด้วย
นายกรณ์ ยกตัวอย่าง บริษัทบางจาก และบริษัทลูกของบางจาก คือ BCGP ซึ่งเป็น 2 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ถูก ก.ล.ต.สอบสวน ทางผู้บริหารได้ออกแถลงการณ์ว่า การซื้อขายหุ้นเป็นเรื่องของผู้ซื้อขายไม่เกี่ยวกับบริษัทแต่อย่างใด แต่ ก.ล.ต.ควรที่จะตั้งคำถามว่า คำแถลงของผู้บริหารนั้น เป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือไม่ หลังจากกลุ่มสแกมเมอร์เข้ามาซื้อหุ้นบางจากเพียง 2 วัน มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัท นำไปสู่การตั้งตัวแทนกองทุนที่เข้ามาซื้อหุ้นที่ถูกอายัดเป็นกรรมการบริษัทที่มีอำนาจลงนาม โดยไม่ผ่านการพิจารณาของผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งเป็นการแต่งตั้งกรรมการอย่างเร่งรัดและมีข้อสงสัยมากมาย
นอกจากนั้น ตัวบริษัทที่มาซื้อหุ้นบางจาก จัดตั้งมาเฉพาะกิจเพื่อการนี้ และมีทุนจดทะเบียนเพียงแค่ 50 ล้านบาท แต่สามารถหาเงินมาซื้อหุ้นมูลค่า ถึง 10,000 ล้านบาทได้ กรรมการท่านนั้น ณ วันนี้ ถูกถอดอำนาจการลงนาม แต่ประเด็นที่สำคัญคือ การแต่งตั้งเขาแต่แรก คณะกรรมการของบางจาก มีการตรวจสอบละเอียดหรือยังว่า มีที่มา ที่ไปอย่างไร เป็นตัวแทนของกองทุนที่มีแหล่งเงินมาจากไหน
ในกรณี BCGP ซึ่งทางบางจากถือหุ้นอยู่ 60% ได้มีการอนุมัติเพิ่มทุนเป็นกรณีพิเศษกับ 2 กองทุน ซึ่งเป็น 2 กองทุนที่มีพิรุธว่ามีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มสแกมเมอร์ข้ามชาติ พอถือหุ้นอยู่ไม่นานก็เริ่มขายหุ้นออก โดยที่หลังจากนั้นก็มีชื่อนายยิม เลียก นางคัทลียา บีเวอร์ ภรรยาของนายเบน สมิธ และมีชื่อธนาคาร BIC มาเป็นผู้ถือหุ้นแทน
เพราะฉะนั้น ก็มีคำถามกลับไปที่ผู้บริหารอีกว่า การออกหุ้นเพิ่มทุนในลักษณะนี้ ทำไม่ได้ถ้าไม่มีมติเห็นชอบโดยคณะกรรมการบริหาร และมติเห็นชอบของผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ บริษัทบางจาก ท่านได้ทำ KYC (กระบวนการตรวจสอบตัวตนลูกค้า) ได้ตรวจสอบก่อนหน้านั้นหรือไม่อย่างใด ว่าเบื้องหลังกองทุนพิสดารที่ท่านได้อนุมัติขายหุ้นมูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท ได้มีการตรวจสอบว่าเป็นเงินสะอาดจริงไหม เพราะวันนี้มีความชัดเจนแล้วว่าอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นายกรณ์ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ เป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ เร่งรัดไปที่สำนักงาน ก.ล.ต. ให้เร่งปฏิบัติหน้าที่ ก่อนที่จะมีการย้ายเงินทองและทรัพย์สิน เงินที่ไม่สะอาดออกจากตลาดทุนของเรา ก่อนที่จะมีการดำเนินตามกฎหมาย