“ธีระ” ที่ปรึกษากฎหมาย ปชน. เรียกร้อง กกต. ทบทวนออกเสียงประชามตินอกเขตเฉพาะวันจริง ชี้สร้างภาระ-กีดกันประชาชน ยันพรรคการเมืองรณรงค์ประชามติได้ ไม่มีกฎหมายห้าม

วันที่ 24 ธันวาคม 2568 นายธีระ สุธีวรางกูร ที่ปรึกษาพรรคประชาชนด้านกฎหมาย กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยืนยันว่าการออกเสียงประชามติต้องเข้าคูหาในวันจริง คือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 เท่านั้น ไม่สามารถออกเสียงล่วงหน้าในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569 ได้ โดยธีระ กล่าวว่า แนวทางของ กกต. ทำให้ประชาชนที่อยู่นอกเขตภูมิลำเนาต้องเข้าคูหาถึง 2 รอบ ในเวลาไล่เลี่ยกัน รอบแรกคือเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้า และรอบสองไปออกเสียงประชามติในวันจริง เป็นการสร้างภาระแก่ประชาชนอย่างไม่จำเป็น คนจำนวนมากที่ไม่สะดวกเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือไม่สะดวกเข้าคูหาหลายครั้ง อาจเลือกใช้สิทธิเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้จำนวนผู้มาออกเสียงประชามติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายธีระ ระบุว่า แทนที่ กกต. จะทำหน้าที่ส่งเสริมอำนวยความสะดวกให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ นี่กำลังกลายเป็นการขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานที่อยู่ต่างถิ่น อีกประเด็นที่น่ากังวลคือการที่ กกต. มีแนวโน้มจะกำหนดกรอบเวลาการลงทะเบียนออกเสียงประชามตินอกเขตเพียง 3 วัน คือ 3-5 มกราคม 2569 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นมากเกินกว่าจะเรียกว่าการอำนวยความสะดวก และอาจทำให้ประชาชนจำนวนมากเสียสิทธิเพียงเพราะลงทะเบียนไม่ทัน

นายธีระ ยังกล่าวถึงกรณี แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ระบุพรรคการเมืองห้ามชี้นำประชาชนในการออกเสียงประชามติ โดยยืนยันว่า ไม่มีกฎหมายฉบับใดห้ามพรรคการเมืองรณรงค์ในการทำประชามติ และ พ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 17 ก็บัญญัติชัดเจนว่าประชาชน พรรคการเมือง องค์กรเอกชน และกลุ่มต่างๆ ในสังคม ย่อมมีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการออกเสียงได้โดยเสรี เสมอภาค และเท่าเทียมกัน การที่เลขาธิการ กกต. บอกว่าทำไม่ได้นั้น ขัดกับหลักการประชาธิปไตยสากล ที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นสถาบันของประชาชนย่อมสามารถให้ข้อมูลประชาชนได้

...

นายธีระ ทิ้งท้ายว่า ประชามติครั้งนี้คือหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในการปลดล็อกรัฐธรรมนูญ 2560 จึงขอเรียกร้องให้ กกต. ทบทวนแก้ไขแนวทางที่ประกาศออกมา โดยให้คำนึงถึงความสะดวกของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่เช่นนั้นการออกเสียงประชามติครั้งนี้ จะกลายเป็นประชามติที่กีดกันประชาชน ไม่สามารถสะท้อนความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่ง กกต. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ