ภูมิใจไทย จัดแถลงนโยบายสู้ศึกเลือกตั้งหน้า แกนนำ-สมาชิกพร้อมหน้า เปิดนโยบายมั่นคงทหารอาสา 1 แสนคน ขอโอกาสใช้หนี้คนละครึ่งพลัส 2,400 บาทหลังเลือกตั้ง ประกาศหากได้เป็นรัฐบาล “เอกนิติ- สีหศักดิ์- ศุภจี” ได้นั่งรองนายกฯ บอก แคนดิเดตไม่สำคัญไม่บังคับใจ “ผมเป็นนายกฯ”
วันที่ 24 ธันวาคม 2568 เมื่อเวลา 10.30 น. ที่โรงละครอักษรา ศูนย์การค้าคิงพาวเวอร์ พรรคภูมิใจไทยจัดการประชุมพรรคและแถลงนโยบายในการเลือกตั้ง นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยแกนนำพรรค อาทิ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รวมถึงแกนนำกลุ่มต่างๆ ที่เพิ่งเข้ามาอยู่พรรคภูมิใจไทย อาทิ นายวราวุธ ศิลปอาชา นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์ นายสนธยา คุณปลื้ม นายสุชาติ ชุมกลิ่น แกนนำรัฐบาลที่ถูกจับตาว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคภูมิใจไทยมาร่วมอย่างพร้อมหน้าทั้ง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกฯและรมว.คลัง นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร สส. ทั้ง 500 คนมาร่วมประชุมอย่างคึกคัก
เปิดนโยบายมั่นคงทหารอาสา 1 แสนคน
โดยนายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้มาเร็วกว่าที่คาดคิด ก่อนหน้านี้ตนมีความกังวลระดับหนึ่ง แต่วันนี้ความกังวลเปลี่ยนแปลงเป็นความมั่นใจ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเรารู้สึกว่าประชาชนตั้งความคาดหวังไว้สูงกับการทำงานของพรรค เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากความพร้อมสูงสุดในทุกๆ ด้าน พรรคภูมิใจไทยวันนี้มีประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ไม่ใช่เด็กละอ่อนอีกต่อไป กล้าเสนอคำว่าพูดแล้วทำพลัส เพราะมีความพร้อมสูงสุดทุกด้าน การเลือกตั้งมา 3 ครั้ง พรรคเติบโตขึ้นเสมอ การเลือกตั้งที่กำลังจะถึง กราบขอโอกาสประชาชนอย่าทำให้กราฟพรรคภูมิใจไทยตกต่ำ แต่ขอให้พุ่งขึ้นเต็มที่ เพื่อสร้างความเจริญให้ประเทศได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ เรามีความสามารถในการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนอย่างมีเอกภาพ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับข้าราชการ กองทัพ ภัยของประเทศในวันนี้ หลักๆ มี 4 ด้าน คือเศรษฐกิจ สังคม ภัยพิบัติ และภัยความมั่นคง คนไทยในปัจจุบันเกิดความกลัวสารพัด แต่สิ่งที่ตนไม่อยากให้คนไทยต้องกังวลเลย คืออย่ากลัวเสียอธิปไตยของประเทศ พรรคภูมิใจไทยจะทำให้ความหวาดระแวง ความกลัวของท่าน เปลี่ยนมาเป็นความมั่นคง มั่งคั่ง และเชื่อมั่น ทำให้ประเทศปลอดจากภัยคุกคาม เสริมสร้างศักยภาพกองทัพให้เข้มแข็ง พรรคภูมิใจไทยจะเปิดโอกาสทหารอาสาเพื่อรับใช้ชาติอย่างสมัครใจ และมีอนาคต เราจะเปลี่ยนคำว่าทหารเกณฑ์เป็นคำว่าทหารอาสา เพื่อจะได้มีทหารที่ตั้งใจเต็มใจเข้ามาปกป้องอธิปไตยดินแดนของเรา โดยจะเปิดรับสมัครทหารอาสา 1 แสนคน ให้พวกเขาได้รับราชการเป็นทหาร 4 ปี เงินเดือน 12,000 บาท จะทำให้ประเทศมีกำลังพลที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องแผ่นดิน
...
ขอโอกาสใช้หนี้ 2,400 บาท หลังเลือกตั้ง
นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า ด้านเศรษฐกิจสองสามเดือนที่ผ่านมาเรามีนโยบาย Quick Big Win มาให้ประชาชน ทำโครงการคนละครึ่งพลัส ที่ยังติดประชาชนอยู่คนละ 2,400 บาทขอให้ตนได้มีโอกาสกลับมาชำระหนี้ให้ แน่นอนว่าโครงการนี้จะกลับมาแบบไม่ธรรมดาเพราะมีคำว่าพลัสกลับไปด้วย รวมถึงจะทำให้สินค้าที่ประทับตราเมดอินไทยแลนด์ เป็นสินค้าที่ทรงพลังที่ทั่วโลกต้องการ และที่ผ่านมาเราทำให้เป็นแล้วว่า เราเป็นฝ่ายตรงข้ามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ผู้ค้ายาเสพติด ปราบสแกมเมอร์ เพื่อดูแลประชาชนไม่ใช่แค่คนไทยเพราะเรื่องนี้เป็นภัยคุกคามทั่วโลก สามเดือนที่ผ่านมาเราได้แสดงผลงานได้เป็นที่ประจักษ์ เศรษฐกิจดีขึ้น ราคาข้าว มันสำปะหลัง มีราคาสูงขึ้น เราได้นำประเทศไทยกลับคืนสู่เวทีโลก รักษาเกียรติภูมิของประเทศ ถ้าประชาชนให้โอกาส ให้เวลามากกว่านี้พรรคภูมิใจไทยจะทำได้ดีกว่านี้
ได้เป็นรัฐบาล “เอกนิติ- สีหศักดิ์- ศุภจี” นั่งรองนายกฯ
นายอนุทิน กล่าวว่า ตนขอพิสูจน์ว่าพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะตนเดินไปไหนหูได้ยินเสียงประชาชนเสมอ ขอให้เลือกพรรคภูมิใจไทยกลับมา ท่านได้ตนเป็นนายกฯ ถ้าเลือกพรรคภูมิใจไทยกลับมา ตนจะให้นายสีหศักดิ์ เป็นรองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศ นางศุภจี จะไม่เพียงเป็นรมว.พาณิชย์ แต่จะเป็นรองนายกฯกำกับดูแลการพาณิชย์ การอุตสาหกรรมและการค้า นายเอกนิติ จะยังเป็นรองนายกฯและรมว.คลัง คุมการคลังของแผ่นดิน ดูวินัยการเงินการคลัง ดูค่าเงินบาท นโยบายทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้พรรคภูมิใจไทยไม่เคยมีมาก่อนแต่วันนี้มีแล้ว จะทำงานครอบคลุมถ้าทำไม่ได้พรรคภูมิใจไทยไม่พูด เมื่อก่อนมีข้อจำกัดแต่วันนี้ไม่มีข้อจำกัดแล้ว นอกเหนือจากสามคนที่กล่าวมา ยังมีคนที่มีความรู้ความสามารถที่ตนเชิญเข้ามาแม้จะมาจากส่วนอื่นในรัฐบาลที่แล้ว แต่วันนี้ตนไปขอให้มาร่วมงานกับภูมิใจไทย เพื่อประเทศไทย
แคนดิเดตไม่สำคัญไม่บังคับใจ “ผมเป็นนายกฯ”
“ท่านไม่ต้องห่วง สามท่านนั้นมาแน่ แม้ว่าเดี๋ยวคนจะบอกว่า เขาไม่เป็นแคนดิเดตนายกฯหรือ แต่ไม่สำคัญเพราะผมเป็นนายกฯ แต่ผมอาจเผื่อเหลือเผื่อขาดให้ท่านบ้าง เราไปบังคับจิตใจคนไม่ได้ พวกเราในห้องนี้เป็นนักการเมือง คุ้นชินกับการรับแรงปะทะ รับฟังเสียงตำหนิของคนที่เราไม่รู้จัก แต่สามท่านนี้อาจยังไม่ชินแต่เดี๋ยวก็ชิน แต่เที่ยวนี้ขอให้ท่านได้ทำสิ่งที่ท่านสบายใจ จะได้กลั่นผลงานที่ประชาชนประทับใจให้ประเทศของเรา ไม่มีความกังวลไม่มีเอ๊ะ ไม่มีเฮ้ย แต่มีแต่คำว่าสู้ เมื่อเขาได้สั่งสมประสบการณ์ทางการเมืองสักระยะ โดยอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่ แล้ววันนั้นเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของเรา วันนี้มองเขาเป็นคนนอกไม่ได้แล้ว เขาอาจไม่ชินระบบแต่การทำงานเขาคือคนใน เป็นเพื่อนร่วมงานของเราและผมให้คำยืนยันว่าเราทำได้ดีกว่ายิ่งใหญ่กว่า สำเร็จกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา”