“ยศชนัน–สุริยะ” นำคณะเศรษฐกิจเพื่อไทย หารือ ส.อ.ท. ชูใช้ AI–เทคโนโลยีต่อยอดงานวิจัยสู่ภาคอุตสาหกรรม เสนอรัฐจัดหาลิขสิทธิ์ลดต้นทุนลงทุน ย้ำหากทุกฝ่ายมองเป้าหมายเดียวกัน ประเทศเดินหน้าได้
วันที่ 24 ธันวาคม 2568 ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายจักรพงษ์ แสงมณี รองหัวหน้าพรรค นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองหัวหน้าพรรค นายฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ที่ปรึกษารองหัวหน้าพรรค และนายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรค เข้าพบนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ปัญหาอุตสาหกรรม และแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
นายเกรียงไกร กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยทั้งสองคน พร้อมคณะผู้บริหารพรรค เดินทางมาร่วมหารือกับ ส.อ.ท. ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเปราะบางอย่างมาก
“เรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ คือสิ่งที่ประชาชนกำลังรอคำตอบว่าจะฟื้นประเทศอย่างไร ให้เศรษฐกิจกลับมาเดินหน้าและแข่งขันได้ ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของจีดีพีประเทศ มีแรงงานจำนวนมาก แต่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัว” นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร ระบุเพิ่มเติมว่า ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบทั้งจากเทคโนโลยีใหม่ ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนทิศทางการค้าโลก ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากไหลเข้าภูมิภาค รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ซึ่งเป็นฐานหลักของประเทศและเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด ขณะที่มาตรการป้องกันและช่วยเหลือยังไม่เพียงพอ และสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง
...
นอกจากนี้ แม้ตัวเลขการส่งออกในปีนี้จะดูดี แต่เมื่อพิจารณาเชิงลึก กลับพบว่าภาคการผลิตของไทยและดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ไม่ได้ขยายตัวตาม ทำให้เกิดคำถามว่าสินค้าที่ส่งออกจำนวนมากนั้นเป็นสินค้าประเภทใด ซึ่งจำเป็นต้องหารือในรายละเอียดต่อไป โดย ส.อ.ท. คาดหวังให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม มุ่งสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความแข็งแรงอย่างยั่งยืน
ด้านนายยศชนัน กล่าวว่า การเข้าพบ ส.อ.ท. ครั้งนี้ ถือเป็นหน่วยงานแรกที่พรรคเพื่อไทยมารับฟังความคิดเห็น พร้อมย้ำว่าไม่ใช่การพบกันครั้งแรก เนื่องจากที่ผ่านมาเคยทำงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในบทบาทด้านมหาวิทยาลัยและงานวิชาการ ซึ่งแนวทางของ ส.อ.ท. สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการให้ประเทศเดินไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าพรรคใดจะเข้ามาบริหารประเทศ
“สิ่งสำคัญคือการลดความขัดแย้งย่อย ๆ ที่ทำให้ประเทศแตกแยก และทำให้ประชาชนเห็นว่าใครทำเพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง” นายยศชนัน กล่าว
นายยศชนัน ยังชี้ให้เห็นถึงจุดแข็งของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางภูมิรัฐศาสตร์ เชื่อมโยงตลาดขนาดใหญ่ทั้งอินเดีย จีนตอนใต้ และอาเซียนที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน การตั้งโรงงานในไทยจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงตลาดภายในประเทศ แต่เชื่อมโยงทั้งซัพพลายเชน พร้อมย้ำความจำเป็นในการดำเนินนโยบายด้านการเงิน การคลัง ค่าเงิน และการส่งออกให้สอดคล้องกัน เพื่อดึงเงินลงทุนเข้าสู่ประเทศได้มากขึ้น
สำหรับเครื่องยนต์เศรษฐกิจ นายยศชนัน ระบุว่า ไทยมีพื้นฐานอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องเร่งนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ พร้อมผลักดันระบบคมนาคมและการผลิตขั้นสูง (Advanced Manufacturing)
หนึ่งในโจทย์สำคัญคือ การดึงเทคโนโลยีใหม่เข้าสู่ประเทศ ซึ่งรัฐบาลควรมีบทบาทในการจัดหาลิขสิทธิ์เทคโนโลยี หรือ License-in เพื่อลดภาระการลงทุนของภาคเอกชน ยกตัวอย่างโครงการจัดหาแท็บเล็ตให้เด็กไทย ที่ควรพิจารณาลงทุนในเทคโนโลยีแกนกลาง และเปิดโอกาสให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศมีส่วนร่วมในการผลิต ควบคู่กับการวางรากฐานด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมด้านแรงงาน ผ่านการอัพสกิล รีสกิลในทุกมิติ และหากยังขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง อาจเปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาช่วย ผ่านระบบ One Stop Service โดยรัฐจะดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย
สำหรับ New Growth Engine นายยศชนัน ระบุว่า ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และนโยบาย Net Zero โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็กและซีเมนต์ ที่จำเป็นต้องปรับตัว ขณะเดียวกัน ไทยยังมีศักยภาพด้าน Synthetic Biology ซึ่งสามารถเชื่อมโยงงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสู่ภาคเอกชน รวมถึงการผลักดัน Green Premium เพื่อให้อุตสาหกรรมสีเขียวสามารถแข่งขันได้
ในด้านสภาพคล่องและนวัตกรรม นายยศชนัน เห็นว่ารัฐควรสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรม เปิดโอกาสให้ Startup และ SME ทำงานร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ ผ่านกลไก Venture Capital หรือ Angel Investor เพื่อให้ไอเดียใหม่ ๆ สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้ และสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรงในระยะยาว ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ประเทศก็ยังสามารถเดินหน้าต่อได้