กกต. คุมเข้มนโยบายประชานิยมหาเสียง เตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเงินที่ใช้-วิเคราะห์ผลกระทบ ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองชนะการเลือกตั้งจะนำไปปฏิบัติตามสัญญาได้หรือไม่ ประชาชนต้องติดตามและพิจารณา
วันที่ 23 ธ.ค. 68 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายเกรียงไกร พานดอกไม้ รองเลขาธิการ กกต. กล่าวถึงการกำหนดนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง หรือนโยบายประชานิยมของแต่ละพรรคการเมือง ในการเลือกตั้งทั่วไป 2569 ว่า พรรคการเมืองต้องรับฟังความเห็นของสาขาพรรค และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด โดยนโยบายหาเสียงที่ต้องใช้เงิน จะต้องมีการรายงาน กกต. โดยจะต้องมีรายละเอียดวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ ความคุ้มค่าและประโยชน์ รวมถึงผลกระทบและความเสี่ยง ต้องมีการกำหนดข้อมูลเหล่านี้ให้ครบถ้วน และส่งให้ กกต. ทราบได้ตั้งแต่บัดนี้ หรืออย่างช้าที่สุดก่อนการเลือกตั้ง 20 วัน หรือประมาณวันที่ 10 ม.ค. 2569 ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองใดส่งนโยบายมาให้ กกต.
เมื่อ กกต. ได้รับนโยบายของพรรคการเมืองแล้ว ครั้งนี้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดยประกอบด้วยผู้แทน 8 หน่วยงานที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐกิจ ประกอบด้วย 1. ผู้แทนของกระทรวงการคลัง 2. กระทรวงพาณิชย์ 3. สำนักงบประมาณ 4. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 5. ธนาคารแห่งประเทศไทย 6. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 7. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ 8. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ก่อนที่จะเสนอให้ กกต. พิจารณา หากพบว่าพรรคการเมืองเสนอไม่ครบถ้วน ก็จะแจ้งให้แก้ไข ซึ่งในการเลือกตั้งปี 2566 มีพรรคการเมืองส่งนโยบายหาเสียงมาให้ กกต. 743 นโยบาย และ กกต. ได้สั่งให้แก้ไข 10 พรรคการเมือง โดยทุกพรรคให้ความร่วมมือ
...
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ครั้งนี้เราจะเข้มกว่าทุกครั้ง เราแจ้งให้พรรคการเมืองไปแล้วว่าต้องดำเนินการอย่างไร มีการส่งแบบฟอร์มให้กรอก เราให้ความสำคัญกับการตรวจสอบนโยบายของพรรคการเมือง จึงมีการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา ซึ่งในวันพรุ่งนี้ทั้ง 8 หน่วยงาน จะส่งรายชื่อตัวแทนทำหน้าที่มายัง กกต. และเมื่อ กกต. มีคำสั่งแต่งตั้งก็จะมีการประชุมทันที เพื่อจะกำหนดกรอบการทำงาน
อย่างไรก็ตามต้องแยกให้ชัดเจน ระหว่างการตรวจสอบนโยบาย กกต. ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกฎหมาย กับการที่พรรคการเมืองหาเสียงแล้วได้นำนโยบายนั้นไปปฏิบัติหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง เคยหาเสียงไว้แล้วว่าต้องทำนโยบายนั้น เมื่อได้เป็นรัฐบาล แต่ได้เป็นรัฐบาลแล้วได้ทำหรือไม่ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องไปติดตาม และตัดสินว่าพรรคเคยสัญญา ได้ทำตามที่สัญญาไว้หรือไม่ ซึ่งถือเป็นสำนึกและความรับผิดชอบที่แต่ละพรรคการเมืองต้องพิจารณา
บางเรื่องเขาอาจไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่บางเรื่องเขาได้เป็นรัฐบาล ได้คุยกับพรรคร่วมแล้วนโยบายนั้นตกไป ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ประชาชนต้องดูว่าเขาผลักดันนโยบายนั้นไปสู่สัญญาที่ได้ให้ไว้หรือเปล่า หรือได้พยายามผลักดันต่อพรรคร่วม เพื่อให้เป็นนโยบายของพรรคร่วมหรือเปล่า ซึ่งเป็นข้อมูลที่ประชาชนใช้ตัดสินใจในการเลือกเป็น สส. หรือไม่