“บิ๊กเล็ก” ย้ำแนวทางสู้รบชายแดนมาถูกทาง ปัดตอบหยุดยิงเมื่อไหร่ เหตุกัมพูชายังยิงใส่ไทย “สีหศักดิ์” ย้ำจุดยืนไทย มั่นใจไม่เคยรุกรานใครก่อน ไม่ใช่บอกหยุดยิงแล้วไปฟ้องโลก


วันที่ 23 ธันวาคม 2568 พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการเตรียมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ที่จังหวัดจันทบุรี ในวันพรุ่งนี้ (24 ธันวาคม 2568) ว่า เป็นการประชุมของฝ่ายเลขา ซึ่งหากฝ่ายเลขาประชุมไม่ได้ตามที่ตนคิดเอาไว้ ตนก็ไม่ไปลงนาม โดยจากพฤติกรรมของกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ตนอยากจะย้ำว่ามีประมาณ 5 ข้อย่อย ประกอบด้วย

1. กองทัพกัมพูชา ผิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่าผิด 3 เรื่อง คือ มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไว้ในครอบครอง อีกประเด็นคือมีการผลิตด้วย เนื่องจากพบว่าทหารกัมพูชาได้นำทุ่นระเบิดรถถังมาดัดแปลงเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งตนถือว่าเป็นการผลิตด้วย และมีการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เป็นทุ่นระเบิดใหม่ ต้องขอบคุณทหารกัมพูชาบางคนที่บันทึกหลักฐานไว้ โดยจากการตรวจพบหลักฐานพื้นที่บ้านสามหลัง จะพบว่ามีเอกสารฉบับหนึ่งที่ระบุพิกัด โดยมุมขวาบนของเอกสาร จะเขียนว่า “30/10/2025” คือวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ซึ่งความหมายที่ตนมอง คือเราเซ็นปฏิญญาร่วมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แต่มาวางทุ่นระเบิดในวันที่ 30 ตุลาคม สะท้อนว่าไม่ได้ปฏิบัติตามอย่างชัดเจน

2. ทหารกัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นที่มั่นทางทหาร 3 ที่ คือ ปราสาทตาควาย, ปราสาทพระวิหาร และปราสาทคนา

3. ทหารกัมพูชาใช้ชุมชนเป็นที่ตั้งยิงอาวุธหนัก โดยเฉพาะ BM-21 เมื่อยิงเสร็จแล้วจะเข้าที่ตั้งชุมชนจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถทำลายได้ เพราะเราเคารพกติกา เราไม่ยิงในที่หมายพลเรือน

...

4. กัมพูชาใช้อาคารพลเรือนเป็นที่ตั้งทางการทหารและเป็นคลังอาวุธ แต่ก็ทำให้ไทยยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว เนื่องจากกัมพูชาใช้รังสแกมเมอร์ และบ่อนกาสิโนเป็นที่ตั้ง ซึ่งเรามุ่งทำลายที่ตั้งทางการทหาร ไม่ใช่เหตุปราบสแกมเมอร์เป็นหลัก เพียงแต่เมื่อถูกใช้เป็นที่ตั้งทางการทหาร รังสแกมเมอร์จึงถูกทำลายไปด้วย

5. กัมพูชาใช้พลเรือนเป็นโล่ รวมถึงใช้พลเรือนมาใช้สู้กับเรา เช่นที่ปรากฏตามคลิปต่างๆ ซึ่งหากเราทำอะไรแล้วเขาเสียชีวิตก็จะมีการโจมตีว่าทหารไทยทำร้ายพลเรือน

พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่ออีกว่า ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นฐานคิดของตน แต่เป็นเรื่องแรก ซึ่งเรื่องต่อมาเป็นขั้นตอนที่ตนใช้มาตลอด แบ่งเป็น 3 ขั้น ขั้นแรกคือการพยายามเจรจาก่อน ในห้วงก่อน 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตนพยายามเจรจา และรัฐบาลกัมพูชาทราบดีว่าตนคือคนที่พยายามเจรจาเพื่อใช้วิธีสันติ เพราะหลักคิดของตนในฐานะทหารเก่ามีอยู่ว่า การชนะโดยไม่ต้องรบดีที่สุด และเมื่อรบต้องชนะ ดังนั้นระยะแรกที่จะแก้ปัญหาคือใช้วิธีสันติใช้การเจรจา ให้เขาถอนกำลังออกไปเพื่อจะได้ไม่ต้องรบกัน

แต่หลังหยุดยิงวันที่ 28 กรกฎาคมแล้ว ซึ่งเป็นระยะที่ 2 คือพยายามหยุดยิง เมื่อปะทะกันแล้ว ก็คิดในแง่ดีว่าอาจจะไม่เจตนาที่จะมารุกรานเรา ก็มีการเจรจาหยุดยิงกัน แต่จากหลักฐานที่ชัดที่สุดคือหลังจากลงนามปฏิญญาร่วมแล้วก็ยังมาวางทุ่นระเบิดสังหารเราอีก ตนถือว่าตรงนี้เขาคุยไม่รู้เรื่องแล้ว ไม่มีความจริงใจ จากการพิสูจน์มาตามระยะต่างๆ และตอนนี้อยู่ในระยะที่ 3 ซึ่งสื่อคงนึกออก ว่าการเจรจาขั้นต่อไปจะเป็นอย่างไร ดังนั้น จากสถานการณ์ปัจจุบันตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงช่วงเช้าในบางพื้นที่ก็ยังมีการยิง BM-21 เข้ามา และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ก็ยังบอกอีกว่าพร้อมที่จะรบในระยะยาว ในขณะที่รัฐบาลหลักบอกว่าพร้อมหยุดยิง แล้วจะทำให้เราเชื่อใจได้อย่างไร

ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ตนยืนยันว่าเรายังยึดหลักปฏิญญาร่วม แต่คงไม่เหมือนเดิม คงต้องลงรายละเอียดมากกว่านี้ บางข้ออาจปล่อยไปอีกสักระยะหนึ่ง นี่คือสิ่งที่สามารถบอกได้ แต่อยากให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในคณะ GBC ว่าจะปกป้องอธิปไตย ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะจากช่วงเวลาที่ผ่านมาเราต้องอยู่กับกฎหมายระหว่างประเทศ

“ผมมองว่าเมื่อถึงเวลาตรงนี้ก็ไม่มีประเทศไหนที่มายืนข้างเราจริงๆ ทุกคนพูดเหมือนเป็นกลางแต่เหมือนไปยืนฝั่งกัมพูชา และพูดให้เป็นกลางคือเขาฟังข้อมูลทางการกัมพูชา และมองว่าเราเป็นประเทศใหญ่ที่ไปรุกราน ผมยืนยันในฐานะที่รับผิดชอบทางนโยบาย เราปกป้องตัวเอง เราป้องกันตนเอง โดยยึดหลักกฎบัตรสหประชาชาติข้อที่ 51 ด้วยความจำเป็นและได้สัดส่วน ยืนยันตรงนี้ ขอให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนสบายใจได้ เพราะผมมั่นใจว่าเราต้องยึดกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีประเทศใดเข้าข้างเรา สิ่งที่ผมมองอยู่ก็คือผมไม่เห็นมีประเทศไหนที่ประณามกัมพูชาว่าทำไมวางทุ่นระเบิดในเขตของไทย ได้แต่มาพูดว่าขอให้ไทยลดการใช้อาวุธ ลดความรุนแรง ซึ่งตอนนี้ผมมั่นใจว่ามาถูกทาง เราอยู่กับกฎหมาย และกฎหมายคือที่พึ่งของเรา”

พล.อ.ณัฐพล ย้ำว่า ตนพูดได้แค่นี้ เพราะถ้าพูดมากกว่านี้จะทำให้การประชุมของฝ่ายเลขาลำบากได้ ตนเพียงเอาข้อเท็จจริงมาให้สื่อมวลชนดูในรายละเอียด เพราะมั่นใจว่าแค่พูดหัวข้อสื่อมวลชนก็เข้าใจ พร้อมฝากความเข้าใจกับสังคมกับคนไทย และชาวโลก ในข้อเท็จจริงเหล่านี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดต่างชาติจึงเชื่อกัมพูชามากกว่าไทย พล.อ.ณัฐพล ตอบว่า ไม่อยากพูดเพราะพูดไปก็ถูกทัวร์ลง จากข้อมูลที่มีอยู่ สิ่งแรก คือ มีนักวิจารณ์หลายคนพูดด้วยความรุนแรงมากตลอด เมื่อไทยป้องกันตัวเองก็บอกว่าไทยเตรียมการมาก่อน ไม่อยากพูดไปมากกว่านี้ เพราะครั้งก่อนที่พูดไปก็โดนสวนกลับมา อีกอย่างหนึ่งคือกัมพูชาใช้ล็อบบี้ยิสต์ ส่วนรัฐบาลไทยจะใช้หรือไม่ไม่ทราบ แต่ตนเองเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือความจริงสู้ได้ ที่ผ่านมาก็ใช้ความจริงสู้มาโดยตลอด จนบางครั้งผู้ใหญ่ก็เตือนไม่อยากให้พูด เพราะพูดไปก็โดนด่าจนทำให้ท้อ แต่ส่วนตัวก็ยังคงจะใช้ความจริงเข้าสู้ เพราะเชื่อว่าวันเวลาผ่านไปจะเป็น Digital Footprint และเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้

พล.อ.ณัฐพล ระบุต่อไปว่า ตนเชื่อมั่นในขีดความสามารถของสื่อมวลชนไทย อยากให้สื่อมวลชนไทยต่อสู้เรื่องข้อมูลข่าวสารกับกัมพูชา เพราะการสู้รบครั้งนี้ไม่ใช่มิติทางการทหารอย่างเดียว ยังมีการสู้รบทางการเมือง ทั้งการเมืองในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ ด้านการต่างประเทศ ด้านสังคมจิตวิทยา และด้านสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งสนามรบมีหลายแห่ง จึงมีการตั้งศูนย์แถลงข่าว สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ ททบ. 5 อยากให้สื่อมวลชนติดตาม เพราะได้ระดมทุกคน ที่มีความรู้ความสามารถจากเหล่าทัพมาประจำการ เนื่องจากสนามรบครั้งนี้มี 3 สนาม คือสนามรบที่ชายแดน สนามรบด้านการต่างประเทศ และสนามรบด้านข้อมูลข่าวสาร โดยสนามรบด้านข้อมูลข่าวสาร ขอพึ่งสื่อมวลชนด้วย ต้องเอาชนะในสนามรบนี้ให้ได้ และสื่อมวลชนทุกคนถือเป็นหนึ่งในกำลังรบ

ส่วนคำถามว่าการสถาปนาพื้นที่สู้รบแต่ละพื้นที่เบ็ดเสร็จแล้วหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เป็นไปตามที่กองทัพรายงาน รวมถึงเนิน 350 ด้วย ทางด้านคำถามว่า การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการเจรจา GBC ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล เผยว่า ตราบใดที่กัมพูชายังยิงเข้าฝ่ายไทยอยู่ เพราะว่าเช้านี้กัมพูชาในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ก็ยังยิงเข้ามาอยู่ ไทยจึงเป็นต้องตอบโต้ตามความจำเป็นและสัดส่วน เช่นเดียวกับกองทัพภาคที่ 2 พื้นที่ตาควาย ตาเมือนธม ก็ยังคงมีการยิงเข้ามาฝ่ายไทย มีแค่พื้นที่จันทบุรี-ตากเท่านั้นที่นิ่งอยู่ ทำให้การประชุม GBC ในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ จึงกำหนดสถานที่เป็นจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลอดภัย เพราะกัมพูชาก็กังวลเรื่องความปลอดภัย

“ขอฝากถึงประชาชนในพื้นที่จันทบุรี จึงอยากให้ช่วยกันรับรองความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่กัมพูชา อยากให้กัมพูชามั่นใจในความปลอดภัย เพราะคนไทยเราแยกแยะ การรบก็คือการรบ เจรจาก็ส่วนเจรจา อยากให้ประชาชนช่วยกันสร้างความมั่นใจว่ามาประเทศไทยแล้วปลอดภัย ทั้งจากอาวุธ ท่าที ขอให้เป็นสนามด้านการต่างประเทศ จะสู้ในรูปแบบทุกอย่างตามบริบท ไม่ใช่สนามต่างประเทศ แล้วนำอาวุธเข้ามาปนด้วย”

สำหรับประเด็นคำถามว่ากัมพูชายังไม่ตัดสินใจที่จะมาประชุมในไทยใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล ระบุ ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจแล้วหรือไม่ เพราะกัมพูชามีความกังวล เช่นเดียวกับไทยที่มีความกังวลที่เดินทางไปประชุมที่เกาะกง จึงอยากให้กัมพูชามั่นใจในความปลอดภัย เพราะการประชุมครั้งนี้ ไม่ได้เข้ามาในพื้นที่ชั้นในแต่เป็นการประชุมในพื้นที่ชายแดน

“สีหศักดิ์” ย้ำจุดยืนไทย มั่นใจไม่เคยรุกรานใครก่อน

ทางด้าน นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการประชุม GBC ที่ในวันพรุ่งนี้ ว่า ทางกัมพูชาได้ประกาศเขาพร้อมหยุดยิง และไปประกาศให้กับทุกๆ ประเทศ ซึ่งส่งผลความกดดันมายังประเทศไทยให้มีการหยุดยิง การหยุดยิงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการประกาศ แต่เกิดขึ้นจากการพูดคุยกันว่าจะมีมาตรการอย่างไรที่จะต้องตรวจสอบ หยุดยิงที่ไหน ซึ่งต้องหยุดยิงแบบหยุดยิงจริงๆ เราเองเราก็มีเงื่อนไขที่จะต้องไปพูดคุยกัน โดยยุทธศาสตร์ของกัมพูชาที่ผ่านมาก็มีการแสดงจุดยืนว่าพร้อมหยุดยิง แล้วกัมพูชาไปบอกกับนานาชาติว่าเขาหยุดยิง แล้วนานาชาติจึงมาถามว่าทำไมไทยถึงไม่หยุดยิง เราได้ชี้แจงไปว่าการหยุดยิงเป็นสิ่งที่สำคัญ และจะต้องมีการพูดคุยกันทั้งสองฝ่าย อย่างเช่น ไปประชุมอาเซียนเขาก็ไม่ได้กดดันเรา ขอให้ทั้งสองประเทศมาพูดคุยกัน และขอให้กัมพูชามาพูดคุยกับเรา ไม่ใช่ไปพูดคุยกับโลกแล้วให้โลกมาบอกเรา

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า ต่างชาติไม่เชื่อไทยแต่เชื่อกัมพูชามากกว่าเราจะแก้เกมนี้อย่างไร นายสีหศักดิ์ ตอบว่า เราก็ต้องชี้แจงให้เขาเข้าใจ หากเขาไม่เข้าใจเรา เราก็ต้องเข้าใจตัวเอง ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เราต้องมีจุดยืน ซึ่งเมื่อเรามีจุดยืนที่เราไม่ไปรุกรานเขา เราต้องการสันติภาพ และสันติภาพการหยุดยิงที่แท้จริง ก็หวังว่าเขาจะเข้าใจเราเช่นกัน และมิตรประเทศก็ควรที่จะเข้าใจเราและฟังเราด้วย เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปห่วงใยอะไรมาก เราก็ทำของเราไป มั่นใจในจุดยืนของเราและมั่นใจในตัวของเราเอง.