“จุลพันธ์” บอกจดไว้แล้วแจกเงินหมื่นล็อตที่เหลือพร้อมดำเนินการในวันใดวันหนึ่ง แจงนโยบายประกันสินค้าเกษตร 30 % คือเกษตรกรต้องมีกำไร พร้อมชี้แจง กกต. ใช้งบเท่าไหร่อยู่ที่การบริหารจัดการ


วันที่ 22 ธันวาคม 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการเปิดปากกับภาคภูมิ ทางไทยรัฐทีวี ถึงนโยบายประกันสินค้าเกษตร 30 % ว่า จากการลงพื้นที่ จ.อยุธยา และ จ.สุพรรณบุรี เมื่อวานนี้ ได้เน้นเรื่องนโยบายเกษตรเป็นหลัก ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยมีนโยบายด้านเกษตรแข็งมาตลอด อย่างแรกมีเป้าหมายราคา เช่น ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาท ข้าวขาว 10,000 บาท ซึ่งเป็นเป้าหมายราคาที่พรรคต้องทำให้ถึง ยางพารา 70 บาท/กิโลกรัม ข้าวโพด 7.25 บาท/กิโลกรัม มันสำปะหลัง 3 บาท/กิโลกรัม จะใช้กลไกผสมผสาน ทั้งการดูดสินค้าออกจากตลาด การซื้อนำ การใช้กลไกในการอุดหนุน การเจรจาทางการทูตด้วยเพราะ อินเดียก็ปล่อยสต๊อกข้าวออกมามาก แต่เพื่อไทยมีไม้เด็ดคือเกษตรกรจะต้องไม่มีวันขาดทุนอีกต่อไป หากย้อนกลับไปในอดีต ต้นทุนการผลิตไล่หลังมาเรื่อยๆ ปุ๋ยและยาเพิ่มเร็วกว่าสินค้าเกษตร ผลที่เกิดขึ้นคือเกษตรกรขาดทุน ต้องได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ สิ่งที่เพื่อไทยจะทำไม่ใช่สิ่งที่ทำเหมือนที่ผ่านมา ทั้งจำนำและประกันราคาข้าว แต่เราเป็นนโยบายใหม่เรียกว่าประกันกำไรสินค้าเกษตร ทำให้บริหารจัดการได้หลายอย่าง ทั้งเรื่องต้นทุนการผลิต การดึงสินค้าออก และการอุดหนุนราคาโดยตรงในกรณีราคาไม่ถึง เช่น เกษตรกรมีต้นทุน 8,000 บาท ต้องมีกำไร 30 % หรือ 2,400 บาท หรือได้ตันละ 12,400 บาท หากไปไม่ถึงรัฐต้องอุดหนุนเหมือนกับการประกันราคา


แต่โจทย์วันนี้ตั้งเป้าที่ 10,000 บาท แต่ปีหน้าไม่รู้จะอยู่หรือไม่ หากราคาปุ๋ยพุ่งสูงขึ้นลูกละ 1,000 บาท ราคาตันละ 10,000 บาท อาจจะไม่อยู่แล้ว จึงจะต้องมีการปรับไปตามสถานการณ์กำไร ไม่ว่าต้นทุนหรือสถานการณ์การผลิตเป็นอย่างไร เราจะยืนยันได้ว่า เกษตรกรต้องไม่ขาดทุน ต้องมีกำไรอย่างน้อย 30% เพื่อที่อย่างน้อยจะได้เอาไว้เลี้ยงครอบครัว ชำระหนี้สินของตัวเอง

...


เมื่อถามว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะเอาตรงไหนมาถมให้ นายจุลพันธ์ กล่าวว่ามันเป็นเรื่องกลไกงบประมาณ เพราะมีงบไปช่วยเหลือทั้งเรื่องของ ม.28 และงบประมาณแผ่นดิน งบฉุกเฉิน ซึ่งต้องชี้แจงกับ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่วิธีการที่ทำจะเป็นทางรอดและทางออกให้พี่น้องเกษตรกร จะสามารถมีความมั่นใจได้ว่า การทำอาชีพเกษตรกรจะต้องมีความมั่นคงและพ้นจากความยากจน

โดยจะทำให้ 5 พืชหลักเบื้องต้นก่อน คือ ข้าว ข้าวโพด ยาง มันสำปะหลังและปาล์ม


เมื่อถามว่า กกต. ให้ชี้แจงเรื่องเงินๆ ทองๆ จะต้องชี้แจงให้ กกต.ทราบก่อน นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร เพราะพวกตนเองดำเนินการเรื่องงบประมาณมาอยู่แล้ว ก็พร้อมไปชี้แจง เมื่อถามว่าทั้งหมดใช้งบประมาณเท่าไหร่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ถ้าหากพวกตนไม่ทำอะไรเลย แล้วปีนี้ราคาไม่ได้เลย อาจจะเป็นภาระงบประมาณที่สูง ในอดีตอย่างช่วงรัฐบาล นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้งบประมาณเป็นแสนล้าน ในช่วงของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ใช้งบประมาณต่อปี ถึง 2 แสนล้าน ที่ใช้ไปอุดหนุนเกี่ยวกับภาคการเกษตร ในช่วงของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ใช้น้อยหน่อย เพราะมีการบริหารจัดการที่ดี เลยลดภาระ แต่ตอนนี้ภาคเกษตรเป็นภาคเปราะบางที่ต้องช่วยเหลือ ดังนั้นการทำงานของพวกตนในการใช้งบประมาณไปอุดหนุนให้สามารถยืนได้อย่างเข้มแข็งถือเป็นโจทย์สำคัญ


เมื่อถามว่า หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะมีวิธีที่จะไปหากำไร 30% ไปเติมให้เขาเอง นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แน่นอน แต่ต้องประกอบไปด้วยกลไกอื่นด้วย ทั้งการดึงสินค้าออกจากระบบ การหาตลาดให้ การแปรรูป การเพิ่มมูลค่าสินค้า หากทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง พร้อมกัน ภาระงบประมาณก็ไม่ได้ใหญ่โต


ส่วนเรื่องเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทางเพื่อไทยได้เดินหน้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว ซึ่งมองได้ 2 มุม เพราะเราเป็นรัฐบาลได้ 2 ปี ได้เติมเงินให้ประชาชนไปแล้ว 20 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด กลุ่มที่ยังเหลือที่ผ่านการลงทะเบียนไว้ ในกรณีเป็นรัฐบาลต้องมาดูความเร่งด่วนของสถานการณ์ ที่เราจดไว้ เพื่อดำเนินการให้ครบถ้วนในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งต้องดูภาระงบประมาณ ความพร้อม เพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จในเวลาที่เหมาะสม


“จะบอกว่าทำให้วันแรกเลย ผมคงบอกอย่างนั้นไม่ได้ เราต้องหาวิธี กลไกกลับไปช่วยเหลือเขา ให้มันครบถ้วน” นายจุลพันธ์ กล่าว