“ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” ย้ำ หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นั่งนายกฯ เอง อาสาเข้ามาทำงานเพื่อประเทศ รับ วงศ์ตระกูลชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์ เป็นข้อได้เปรียบ “การมีคนช่วย ย่อมดีกว่าการอยู่คนเดียว”


เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 18 ธันวาคม 2568 ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ หรือ ดร.เชน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย เปิดเผยผ่านรายการเปิดปากกับภาคภูมิ สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 โดยมีนายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยเริ่มต้นขอให้แนะนำตัว โดย ศ.ดร.ยศชนัน กล่าวว่า ตนเองจบวิศวกรรมไฟฟ้า ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เป็นเรื่องของวิศวสื่อสาร และในช่วงปริญญาเอก ได้ทำในเรื่องเทคโนโลยีการแพทย์เกี่ยวกับ นิวโร เอ็นจิเนียริ่ง ทำเป็นเครื่องเชื่อมต่อสมองกับคอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องการเรียนกับงานวิจัย

ทั้งนี้ ระหว่างทางการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่ปี 2551 ทำขนานกับการบริหารมหาวิทยาลัย เริ่มจากเป็นรองคณบดีฝ่ายวิจัย ดูแลเพิ่มเติมเรื่องบัณฑิตศึกษา เรื่องวิเทศสัมพันธ์ เกี่ยวกับการทูตการต่างประเทศ จากนั้นได้โอกาสย้ายมาเป็นผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) ของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยทำเกี่ยวกับเรื่องสตาร์ทอัป สปินออฟ การบ่มเพาะสตาร์ทอัป SME ต่างๆ และการเชื่อมโยงกลุ่มของงานวิจัย นวัตกรรมต่างๆ กับภาคอุตสาหกรรม กับภาคในเชิงพาณิชย์ พยายามนำตรงนี้ออกไปสู่ต่างประเทศ ส่วนตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกมา คือ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนลาออกมา เป็นสิ่งที่ทำมาในเรื่องของการบริหาร สำหรับงานวิจัยที่ทำกับอินโนเวชั่น เป็นแทร็กที่เราพยายามจะนำสิ่งที่เป็นองค์ความรู้ข้างใน เริ่มทำสตาร์ทอัปของเราเอง เริ่มทำงานวิจัยเชิงลึกขึ้น จากนั้นมาเป็นผู้บริหารและจบด้วยตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์

...

เมื่อถามต่อไปว่าในวัย 46 ปี ทำไมตัดสินใจทำงานการเมือง ศ.ดร.ยศชนัน ตอบว่า เมื่อปี 2557 หรือ 10 กว่าปีที่แล้ว ตนเองเคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.เชียงใหม่ เขตเลือกตั้งที่ 3 แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ จึงกลับไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นตนเองชนะเลือกตั้งอยู่หลายเดือน แต่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ได้รับรอง เพราะมีเรื่องของการไม่ได้เลือกตั้งพร้อมกันทุกหน่วยในวันเดียว จึงเป็นประเด็นว่าการเลือกตั้งโมฆะ ตอนนั้นยังคิดว่าอาจจะต้องเลือกตั้งใหม่ แต่สุดท้ายมีการปฏิวัติจึงไม่ได้เข้าสู่เส้นทางการเมือง ต่อมามีส่วนช่วยระดมสมอง ดูเรื่องนโยบายต่างๆ เริ่มคลุกคลีหลังจากนั้นเป็นต้นมากับพรรค โดยอยู่เบื้องหลังตลอด กระทั่งปี 2566 ได้รับโอกาสในช่วงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 มาช่วยดูนโยบายต่างๆ ที่บ้านพิษณุโลก โดยเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ดูเรื่องระบบนิเวศ นวัตกรรมต่างๆ Innovation Ecosystem ต่างๆ ทำให้พอที่จะเห็นหลายอย่างก่อนที่วันนี้จะมีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ขณะที่คำถามหนักใจหรือไม่กับการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ซึ่ง ศ.ดร.ยศชนัน เคยบอกไว้ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาล ตนเองจะเป็นนายกรัฐมนตรี ในคำถามนี้ ศ.ดร.ยศชนัน ตอบชัดๆ “ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ใช่ครับผมเป็นนายกรัฐมนตรีครับ ตอบเหมือนเดิมครับ”

ส่วนประเด็นเรื่องสายสัมพันธ์ตระกูลชินวัตร แม้จะนามสกุลวงศ์สวัสดิ์ จะบอกอย่างไรว่าต้องการเข้ามาทำงานการเมืองจริงๆ มาเพราะตัวเอง หรือไฟลต์บังคับ ครอบครัวบอกต้องมา ศ.ดร.ยศชนัน ระบุตอบโดยขอเท้าความว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทย สิ่งสำคัญจริงๆ คือปรัชญาในการตั้งพรรค พรรคเพื่อไทยมีการดีเบตและพูดคุยกันเยอะเกี่ยวกับนโยบายว่า วันนี้การทำนโยบายเหมาะสมกับประชาชนแล้วหรือยัง สิ่งนี้เป็นแกนหลัก เราพยายามจะทำเรื่องนโยบายตรงนี้มาโดยตลอด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนช่วงปี 2540 เป็นช่วงที่มีปัญหาเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจรอบประเทศไทยและเศรษฐกิจโลกไม่ได้มีปัญหามากนัก เพราะฉะนั้นการที่จะมีนโยบายฉีดไปที่รากหญ้าต่างๆ สามารถทำให้ทุกคนฟื้นขึ้นมาได้ง่ายขึ้น เพราะการส่งออกต่างๆ ยังพอไปได้

แต่ปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2566 และมาสุกงอมในปี 2568 เป็นสิ่งที่เศรษฐกิจมีปัญหา ขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมก็มีปัญหา จะเห็นจากเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงน้ำท่วม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มาจากปัญหาของโลกร้อนทั้งสิ้น เรื่องเกี่ยวกับประเทศ Geopolitics (ภูมิรัฐศาสตร์) เรื่องจีน สหรัฐอเมริกา ก็มีส่วนพอสมควรกับเรื่องนี้

สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุด บางคนก็คิดว่าเป็นปัญหา แต่วันนี้ถ้าเรามองว่าเป็นโอกาส ผมจะเรียกว่าคานดีดคานงัดของการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ตรงนี้เราเรียกว่าเทคโนโลยีดิสรัปชัน พร้อมยกตัวอย่างเครื่องยนต์สันดาปของรถ แล้วอยู่ๆ มาเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า นี่คือเรื่องเกี่ยวกับการดิสรัปของเทค คนที่ทำเครื่องยนต์อยู่ ชิ้นส่วนข้างในเครื่องยนต์ แม้กระทั่งโครงรถบางอันทำในประเทศไทย แต่พอเป็นรถไฟฟ้าองค์ประกอบไม่เหมือนกันแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้เกิดขึ้นฉับพลัน ที่สำคัญไม่ได้เปลี่ยนแปลงเฉพาะในประเทศไทย แต่เปลี่ยนแปลงแบบนี้ทั่วโลก

“ดังนั้น เรามายืนอยู่ที่แยกๆ หนึ่ง ที่ถ้าวันนี้เราสามารถที่จะเลือกได้ ในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกรูปแบบมาเปลี่ยนแปลงประเทศ เราสามารถจะทำได้ และทำได้ในช่วงนี้เท่านั้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าคุยกับทั้งกรรมการบริหารพรรคในเรื่องเกี่ยวกับนโยบาย และเรามีชื่อเป็นชอตลิสต์แคนดิเดต แต่ว่าสุดแล้วแต่กรรมการบริหารพรรคจะเลือก และก็สุดท้ายท่านก็ให้โอกาส มองว่าเราตรงกับสิ่งที่ ณ ปัจจุบันพรรคเพื่อไทยสามารถที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปข้างหน้าได้ นี่คือทิศทางที่เราจะทำ ยินดีมากและก็คิดว่าตัวเองอาสาที่จะเข้ามาทำตรงนี้ และทำอย่างเต็มที่”

เมื่อถามย้ำว่าเป็นการอาสาเข้ามาทำงานเพื่อประเทศ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องขึ้นมาเพราะคนในสายตระกูลชินวัตรไม่มีแล้ว จึงต้องเป็นหลานของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเข้ามา ไม่ใช่อย่างนั้นใช่หรือไม่ ศ.ดร.ยศชนัน ตอบว่าไม่ใช่ สิ่งที่หลายคนคิดคือเชื่อมโยงตระกูลชินวัตร ตนก็ต้องอุปมาอุปไมยเหมือนเดิมว่า “การที่เรามีคนช่วย ย่อมดีกว่าการที่เราอยู่คนเดียว การที่เรามองอะไรที่สูงขึ้น ก็มักจะเปรียบตัวเองยืนอยู่บนบ่าของยักษ์ใจดีตนหนึ่ง แล้วเรามองเห็นอะไรชัดพอสมควร สิ่งที่ผมพยายามอยากจะพูดมากขึ้นมาคือว่า การที่เราจะต้องแก้ปัญหาหนึ่ง ตอนนี้มีปัญหาที่ปนกันอยู่ 4-5 เรื่อง ดังนั้นการจะทำนโยบายอย่างเรื่องเศรษฐกิจ อาจจะต้องผูกกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการที่เราจะนำนโยบายลงไปที่กระทรวง ลงไปปฏิบัติ กลไกกฎหมายเยอะแยะเลย หากไม่ใช่คนที่มีประสบการณ์ ยากนะ และตอนนี้ถ้าเราไม่สามารถทำบางอย่างใน 1 ปี 2 ปีได้ อาจจะไม่ต้องทำอีกแล้ว ทุกอย่างอาจจะเสียหายไปแล้ว” พร้อมยอมรับว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ในตระกูลมีอดีตนายกรัฐมนตรีถึง 4 คนให้ปรึกษา