“บวรศักดิ์” แจงส่งคำถามประชามติแก้ รธน. ประกบรัฐสภา หวั่นถูกตีตก เลิกทำประชามติยกเลิก MOU 43 -44 เหตุมีผลผูกพัน ครม.ชุดใหม่


วันที่ 17 ธ.ค.2568 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ให้สัมภาษณ์กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบคำถามประชามติคำถามแรกเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของรัฐสภา ตามมาตรา 9 (4) “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” แล้วให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ว่า ครม. ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ประชามติ และฉบับแก้ไข 2568 มาตรา 9 วรรคสอง (4) และ มาตรา 11 วรรคท้าย สามารถกำหนดวันทำประชามติแม้ระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน และทำพร้อมกับวันเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ. 69 ทำให้ช่วยประหยัดงบประมาณกว่า 4 พันล้านบาท ประชาชนไม่ต้องไปใช้สิทธิ 2 ครั้ง และ กกต. ไม่ต้องจัดเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง


ส่วนที่ส่งคำถามไปสองคำถาม คือของ ครม. ที่ใช้ช่องทางกฎหมายประชามติ มาตรา 9 (2) และ มาตรา 11 วรรคท้าย ที่ถามว่า “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่” พร้อมกับคำถามจากรัฐสภา นั้น เนื่องจากคำถามจากรัฐสภา อาจสุ่มเสี่ยงว่าไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามกฎหมายประชามติ ตามมาตรา 16 ที่บอกว่า การแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญใช้คำว่า “เห็นชอบ” ไม่สามารถใช้คำว่า “เห็นด้วยหรือไม่” ตามข้อเสนอของรัฐสภาได้


หากส่งคำถามของรัฐสภาเพียงอย่างเดียว และ กกต. ตีตก มีปัญหากันหมด และประชาชนก็จะเสียโอกาสในการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับวันเลือกตั้ง ครม.จึงส่งคำถามเข้าไปประกบคำถามของรัฐสภา และยังสะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจ และตั้งใจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามที่ตกลงไว้ตามเอ็มโอเอ กับพรรคประชาชน และสอดรับกับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาอีกด้วย

...


แจงไม่ถามเอ็มโอยู ตามความเห็นกฤษฎีกา

เมื่อถามว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ตั้งข้อสังเกตว่า การทำประชามติพร้อมกันกับวันเลือกตั้ง ไม่สามารถทำได้ เพราะระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน ผิดกฎหมายประชามติ และอาจทำให้เป็นโมฆะ ซึ่ง ครม. และ กกต. ต้องชดใช้เงินกว่า 3 พันล้านบาทนั้น นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า นายสมชัย เคยอ่านกฎหมายประชามติ มาตรา 11 วรรคท้าย ที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมปี 2568 หรือเปล่า


เรื่องดังกล่าวตนหารือกับ กกต. ตั้งแต่พบกันเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. แล้วไม่มีปัญหาอะไร ส่วนการทำประชามติเพื่อยกเลิกเอ็มโอยู (MOU) 2543 และ 2544 ตนมีความเห็นเช่นเดียวกับ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีนายนพดล อินนา สว. เป็นประธาน แต่เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 (1) เพราะรัฐบาลรักษาการไม่สามารถอนุมัติเรื่องที่มีผลผูกพันต่อ ครม.ชุดใหม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่ทำ เพราะถ้าทำแล้วเกิดความเสี่ยงว่า เป็นไปตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็จะทำให้การลงประชามติเสียไปได้ แต่ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ผิดคำพูด และได้ทำตามนโยบายที่แถลงไว้แล้ว แต่ติดขัดตรงมีปัญหาต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 (1) ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นมา