กกต. ยันพร้อมจัดทำประชามติ ควบลงคะแนนเลือกตั้งทั่วประเทศ “แสวง” เตือนพรรคการเมืองหาเสียงแก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ห้ามชี้นำ ส่วนเวทีประชามติห้ามหาเสียง หากไม่ระวังเสี่ยงผิดกฎหมาย
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.68 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ คอนเวนชั่น นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการจัดทำประชามติ ว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. รัฐบาลได้ส่งหนังสือมายัง กกต. เรื่องการขอให้ กกต.จัดทำประชามติ ตามมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ 2564 โดยมีรายละเอียด 5 เรื่อง เช่น เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญของเรื่องที่จะทำประชามติ งบประมาณตามกฎหมายกำหนดเพื่อให้ กกต. เตรียมเอกสารที่จะส่งให้กับประชาชน
ซึ่งยังถือว่ากระบวนการประชามติ ยังไม่เริ่ม 100% ต้องรออีก 15 วัน ที่กฎหมายกำหนดให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ประกาศวันออกเสียงประชามติ ซึ่งจะตรงกับวันเลือกตั้งที่ 8 ก.พ. แต่โดยกฎหมายและการบริหารของ กกต. สามารถทำประชามติในวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้ และ กกต. ได้ให้ข้อมูลนี้กับรัฐบาลไปแล้วในวันที่มีการหารือร่วมกัน ดังนั้น กกต. พร้อม แต่อยู่ที่รัฐบาลจะคิดอย่างไร ตอบแทนไม่ได้
เลขาธิการ กกต. ยังอธิบายถึงการหาเสียงเลือกตั้ง และการรณรงค์การออกเสียงประชามติ ว่า การหาเสียงคือ การที่พรรคหาคะแนนนิยมเพื่อให้ประชาชนเลือกผู้สมัคร หรือ พรรคของตัวเอง แต่การทำประชามติคือ การให้ข้อมูลความรู้สาระสำคัญของประเด็นที่จะทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งหน่วยงานที่จะให้ กกต.จัดทำประชามติ ได้ส่งข้อมูลมาให้ กกต.เพื่อเผยแพร่ให้กับประชาชนแล้ว ตามมาตรา 15 ส่วนที่ 2 คือการจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาอีกช่วงหนึ่งในการดำเนินการ
...
"จริงๆ ประเด็นหาเสียง เป็นการเสนอแนวทางและนโยบาย ว่าพรรคจะทำอะไร แต่เมื่อขึ้นเวทีประชามติ เหมือนเรื่องการแสดงความคิดเห็น เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เราต้องพูดเฉพาะเนื้อหา ไม่ใช่การหาเสียง ซึ่งมันต้องแยกกันชัด และในข้อมูลที่เขาส่งมาตามมาตรา 15 ต้องไม่เป็นการชี้นำ ต้องเป็นกลาง ซึ่งการจัดเวทีแสดงความคิดเห็น กกต. ก็ต้องจัดให้ทัดเทียมกันทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย” นายแสวง กล่าว
เมื่อถามว่า ผู้สมัคร สส. หรือ ตัวแทนพรรคการเมืองสามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่จะพูดชี้นำ ว่าควรเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบไม่ได้ ใช่หรือไม่ นายแสวง กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นเป็นการชี้นำอยู่แล้ว แต่ข้อมูลที่รัฐบาลส่งมา หรือที่สภาทำให้ ถ้าเป็นรัฐบาลจะเป็นผู้ทำเอกสาร ข้อมูลนี้จะชี้นำไม่ได้ เพียงแต่ให้ประชาชนรู้ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ตามมาตรา 15 แต่เวลาที่ให้ข้อมูลกับประชาชนฝ่ายที่เห็นชอบ ก็จะให้ข้อมูลโน้มน้าวให้ประชาชนเห็นตามเขา ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็จะต้องให้ข้อมูลโน้มน้าวไปอีกทางหนึ่ง
ดังนั้นในส่วนของประชามติจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนของข้อมูลและส่วนของความคิดเห็น ซึ่งเป็นอย่างนี้ทั่วโลกในการหาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครพรรคการเมืองสามารถนำประเด็นประชามติไปหาเสียงได้ แต่ถ้าเป็นเวทีของการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำประชามติ ซึ่งในหนังสือที่ ครม.ส่งมาให้ กกต.ระบุว่า ให้ กสทช.ดูแลสื่อของรัฐและสื่อเอกชน จัดให้แสดงความคิดเห็นอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งสำนักงาน กกต.ก็จะทำความเข้าใจเรื่องนี้กับสื่อมวลชนและประชาชนไปพร้อมกัน
เมื่อถามว่าในเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคการเมืองสามารถบอกเลยได้หรือไม่ว่าประชาชนควรจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับประชามติ นายแสวง กล่าวว่า พรรคต้องบอกว่านโยบายของพรรคเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างนี้พูดได้ เพราะเป็นการหาเสียง แต่ในเวทีประชามติคนที่พูดไม่ใช่พรรค แต่เป็นเวทีของฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับประเด็นประชามติ
หากพรรคอยากพูด ก็ต้องไปลงทะเบียนเป็นฝ่ายเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ซึ่งมันใช้กฎหมายคนละฉบับ ดังนั้น การหาเสียงของพรรคจึงทำได้เพียงสามารถเสนอว่า พรรคมีนโยบายเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ไม่ใช่ไปบอกว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เพราะถ้าทำเช่นนั้นมันจะเป็นเรื่องของการทำประชามติไปแล้ว ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มีการเสนอนโยบายเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาหาเสียง ก็ไม่ผิดกฎหมาย ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะเลือกหรือไม่เลือก แต่ถ้าไปตั้งเวทีรณรงค์ว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องของกฎหมายประชามติ ซึ่งตอนนี้พรรคการเมืองจะต้องระมัดระวัง พรรคจึงหาเสียงว่า จะแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่จะไปพูดว่า เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เพราะมันดีอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ หากล้ำเส้นก็จะมีโทษตามกฎหมาย
“ผู้สมัครและพรรค ต้องระวัง ต้องคิดว่า ขณะที่พูดอยู่ในเวทีกรอบกฎหมายเลือกตั้ง หรือ อยู่ในเวทีกรอบการทำประชามติ ถ้าพูดในกรอบประชามติต้องไปลงทะเบียน ว่า เป็นฝ่ายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เนื่องจากมันมีเวทีให้แสดงความคิดเห็นอยู่ แต่ถ้าพูดในฐานะ สส. มันเปิดกว้าง พูดอย่างไรก็ได้ แต่อย่าไปพูดว่าควรเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ มันจะข้ามไปกฎหมายการทำประชามติ” นายแสวง กล่าวย้ำ
เลขาธิการ กกต. ยังกล่าวถึงกรณี ครม.เตรียมหารือเรื่องคำถามที่จะทำประชามติว่า จะใช้คำถามที่รัฐสภาส่งผ่าน ครม. หรือ ครม.เป็นผู้คิดคำถาม ว่า กกต.ขอเวลาดูรายละเอียดหนังสือที่ ครม. ส่งมาก่อน แต่โดยหลักกฎหมายแล้วให้เป็นอำนาจของหน่วยงานที่ส่งเรื่องมาให้ทำประชามติ ไม่ใช่ กกต.เป็นผู้เลือกคำถาม ซึ่งยังไม่ขอตอบว่า ครม.ส่งคำถามมาตามวงเล็บไหนของกฎหมายการทำประชามติ ขอไปดูหนังสือก่อน
ส่วนงบประมาณการจัดทำประชามติ ถ้าไม่รวมกับการจัดการเลือกตั้ง จะใช้ใกล้เคียงกับการเลือกตั้ง เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวน 53 ล้านคน ถ้าแยกกันทำ ก็จะรวมประมาณหมื่นล้านบาท แต่ถ้าจัดพร้อมกัน ก็จะอยู่ที่ 8 พันล้านบาท