กฤษฎีกาเบรกประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา ชี้หลังยุบสภาทำไม่ได้ เสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ครม. น้อมรับคำพิจารณา


วันที่ 16 ธันวาคม 2568 นายนพดล เภรีฤกษ์ โฆษกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แถลงชี้แจงข้อกฎหมายกรณีการจัดทำประชามติยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา หลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (1) รัฐบาลที่อยู่ในสถานะรักษาการหลังยุบสภาต้องไม่กระทำการอันมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป 

นายนพดลกล่าวต่อว่า จากการพิจารณาประเภทของการทำประชามติ กฤษฎีกาแบ่งออกเป็น 2 กรณี ประชามติเพื่อปรึกษาหารือ (Consultation) รัฐบาลยังใช้ดุลพินิจได้ว่าจะทำตามหรือไม่ แบบนี้ไม่เข้าข่ายต้องห้าม หรือประชามติที่มีผลผูกพัน (Binding) หากมีข้อยุติแล้ว ครม. ทุกชุดต้องดำเนินการตามนั้น ซึ่งจากการตรวจสอบคำแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ พบว่ามุ่งหมายให้ผลประชามติมีผลผูกพันให้ปฏิบัติตาม ดังนั้นหากดึงดันจัดประชามติในช่วงนี้ผลที่ได้จะไปสร้างภาระผูกพันให้รัฐบาลชุดหน้าต้องปฏิบัติตามไปจนกว่าจะมีการทำประชามติใหม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

นายนพดลกล่าวอีกว่า นอกจากประเด็นข้อกฎหมายแล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การนำเรื่อง MOU ไทย-กัมพูชา มาทำประชามติ จำเป็นต้องเผยแพร่ข้อมูลผลประโยชน์ได้เสียอย่างละเอียด เนื่องจากข้อมูลบางอย่างอาจทำให้ไทยตกเป็นรองหรือเสียเปรียบอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตามภายหลังรับทราบความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นพ้องว่า การจัดทำประชามติในขณะที่สภาถูกยุบไปแล้วนั้น จะเป็นการสร้างภาระผูกพันชุดต่อไปจริง จึงมีมติให้ระงับการดำเนินการดังกล่าวไว้เพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 (1) และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องของประชาชนทั่วกัน

...