ไทยแถลงชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ย้ำถูกโจมตีต่อเนื่อง ไม่มีการหยุดยิงตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง พร้อมประณามการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน และยืนยันการปฏิบัติการของไทยเป็นการป้องกันตนเองตามหลักสากล


วันที่ 14 ธ.ค. 2568 ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา นำโดย พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงสรุปสถานการณ์ภาพรวม เหตุการณ์ปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา ซึ่งล่าสุดกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ได้ออกประกาศระงับการเดินทางของคนไทยและชาวต่างชาติที่ยังติดค้างอยู่ในกัมพูชาไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศทางบก โดยมีสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์เสนอแนะรัฐบาลกัมพูชาให้ออกประกาศดังกล่าว ซึ่งนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงว่า เป็นการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ขณะประเทศไทย ยืนยันปฏิบัติตามกฎหมายและตามหลักสากล โดยให้ความร่วมมือและดำเนินการทุกอย่างให้แก่ชาวต่างชาติในไทย ซึ่งรวมไปถึงชาวกัมพูชาด้วย แม้การเดินทางทางบกจะติดขัด แต่ในส่วนของสถานกงสุลใหญ่ พร้อมอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่จะเดินทางออกจากประเทศทางอากาศ จะมีการออกเอกสารฉุกเฉินในการเดินทาง ส่วนเที่ยวบินขณะนี้มีวันละ 1,000 ที่นั่ง จากเสียมราฐ และหากเที่ยวบินเต็มก็สามารถพักรอได้ 1-2 วัน

...


ทั้งนี้ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้สรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อคืนที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าหยุดยิงแต่ยังคงระดมยิงอาวุธหนักใส่ไทยอย่างต่อเนื่อง ไทยจึงจำเป็นต้องป้องกันตนเอง และยังพบโดรนของฝ่ายกัมพูชา จำนวนมากบินรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ชายแดน จ.ตราด อย่างต่อเนื่อง


เวลา 04.15 น. ฝ่ายกัมพูชาระดมยิง BM-21 และปืนใหญ่เข้ามาในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเอง


เวลา 05.15 น. ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากโจมตีเข้ามายังดินแดนอธิปไตยของไทยตลอดแนวชายแดน


อย่างไรก็ตาม ตลอดแนวชายแดนยังคงมีการปะทะอย่างต่อเนื่องไม่ได้มีการหยุดยิงตามที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด


กองทัพเรือ จึงประกาศ เคอร์ฟิว ในพื้นที่ 5 อำเภอ จ.ตราด ( อ.คลองใหญ่ อ.บ่อไร่ อ.แหลมงอก อ.เขาสมิง และอ.เมืองตราด) ตั้งแต่เวลา 19.00-05.00 น. โดยเริ่มวันนี้ (14 ธ.ค. 68) ซึ่งนาวาเอก นรา คุณโฑถม ผู้ช่วยโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือ เข้าใจถึงผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน จากการประกาศเคอร์ฟิว แต่ที่ผ่านมามีการรบกวนฝ่ายกัมพูชาอย่างหนักในพื้นที่ชุมชน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของประชาชน จึงจำเป็นต้องประกาศ หากประชาชนมีความจำเป็นต้องออกจากเคหสถานนอกเวลาสามารถขออนุญาตและชี้แจงเจ้าหน้าที่ได้ โดยยืนยันจะรับฟังเหตุผลและอำนวยความสะดวก แต่ขอเอาความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก พร้อมขอให้เชื่อมั่นในสิ่งที่กองทัพดำเนิน ก็เพื่ออธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน


โดยพ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงภาพรวมการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่สำคัญบริเวณปราสาทคนา ที่พบคูหาทหารกัมพูชาที่สร้างรุกล้ำเข้ามาในดินแดนอธิปไตยไทย และเป็นโบราณสถาน ซึ่งผิดหลักสากล ที่มีการใช้โบราณสถานเป็นที่ตั้งทางทหาร เราจึงได้พยายามยึดพื้นที่คืนสำเร็จ ซึ่งกองทัพบกดำรงความมุ่งหมายปฏิบัติการ 2 ประการ คือ 1.เราจะต้องสถาปนาแนวชายแดนที่ถูกลุกลามกลับคืนมาให้ได้ และ2. เราจะทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาให้หมดสิ้นสภาพ ทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ ที่ตั้งทางทหารหลายสิ่งสนับสนุนต่าง ๆ เพราะชัดเจนว่า กัมพูชาเข้าโจมตี และเป็นภัยคุกคามทั้งต่อกำลังทหารและประชาชน


พร้อมประมาณการสูญเสียของฝ่ายกัมพูชา ตั้งแต่วันแรกของปฏิบัติการจนถึงปัจจุบัน ทั้งในส่วนกองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ประกอบด้วย ฐานที่มั่น-ที่ตั้งทางทหาร 51 แห่ง, BM-21 1 ระบบ, รถถัง 10 คัน, ยานรบ/ยานเกราะ 9 คัน, ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน(ปตอ.) 4 ระบบ, ปืนใหญ่/ปืน ค. 7 กระบอก, แอนตี้โดรน 5 ชุด, โดรน 68 ลำ, เสาสื่อสาร 3 จุด และคาดว่า ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 221 ราย


โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงตัวเลขผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กัมพูชา โจมตีมาด้วยการยิง BM-21 เข้าพื้นที่ชุมชน จ.ศรีสะเกษ เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค. 68) ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 6 ราย โดย 1 ราย ได้กลับบ้านแล้ว ส่วนอีก 5 ราย อยู่ระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยพ้นขีดอันตรายแล้ว และยืนยันกรณีที่มีประชาชน 1 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นแขนขาด ว่า ไม่เป็นความจริง ซึ่งจากการตรวจสอบมีอาการกระดูกหักเท่านั้น แต่ในการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นการเลือกเป้าหมายประชาชน จึงประณามในการกระทำดังกล่าว


ทั้งนี้ ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ยกระดับความขัดแย้งเพิ่ม ซึ่งการดำเนินการของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และเป็นการตอบสนองต่อภัยคุกคามความมั่นคงที่ฝ่ายกัมพูชาได้ทำมา


ส่วนที่ฝ่ายไทยยังคงปฏิบัติการทหารไม่ยอมรับ การเจรจาหยุดยิง โฆษกกระทรวงกลาโหม ย้ำว่า การปฏิบัติการทางทหารเพื่อนำสันติภาพและความสงบสุขกลับคืนมาสู่พี่น้องประชาชน จากภัยคุกคามที่มีอยู่ เราจึงจำเป็นต้องลิดรอนขีดความสามารถของภัยคุกคาม แต่เมื่อสันติภาพและความสงบสุขกลับคืนมา การปฏิบัติการทางทหาร ก็จะสิ้นสุดลงเช่นเดียวกัน โดยประเทศไทย เปิดกว้างในการเจรจาทางการทูตตลอดเวลา เพียงแต่การดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาเราไม่สามารถที่จะเจรจาได้ เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่พร้อมที่จะเจรจา โดยในเรื่องความเป็นภัยคุกคามยังคงมีอยู่ พร้อมย้ำ เราต้องให้ฝ่ายกัมพูชาสิ้นสุดความเป็นปรปักษ์ก่อน ที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป


ส่วนข้อเรียกร้องที่ไทยส่งไปยังประชาคมโลก โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ไทยขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ เข้าใจบริบทด้านความมั่นคงในพื้นที่จริงและสนับสนุนแนวทางการช่วยเหลือคุ้มครองพลเรือน ลดความตึงเครียด และเคารพอธิปไตย สำหรับเป้าหมายของไทยคือการเสริมสันติภาพให้กับพื้นที่และประเทศรักษาอธิปไตยของไทยได้อย่างยั่งยืน


กองทัพบก ยืนยัน ต้องสถาปนาแนวชายแดนที่ถูกรุกล้ำกลับคืนมาให้ได้ และทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาที่เป็นภัยคุกคามประเทศไทยให้หมดสิ้นสภาพ พร้อมเผยตัวเลขล่าสุดทหารเขมรดับไม่น้อยกว่า 221 ราย