“โรม” มอง “อนุทิน” ทำไทยเสียเปรียบปมชายแดนไทย-กัมพูชา ฝากการบ้าน รมว.ต่างประเทศ ช่วงหลังอ่อนหัด จี้สื่อสารเชิงรุก โต้คนวิจารณ์พรรคประชาชนสนใจแต่แก้ รธน.-เลือกตั้ง เย้ยพรรคอื่นดูด สส.หนักกว่า


เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 13 ธันวาคม 2568 ที่สนามหญ้า มศว ประสานมิตร พรรคประชาชน (ปชน.) จัดกิจกรรม “ปิกนิกพรรคประชาชนพบประชาชน” โดยมีแกนนำพรรค ผู้บริหารพรรคทั้งอดีตและปัจจุบันมาร่วมงานพร้อมหน้า อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เป็นต้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการขอโอกาสพูดคุยกับแฟนคลับแบบเปิดใจ รับฟังทุกความเห็นทุกคำวิจารณ์ และกล่าวคำขอโทษต่อหน้าทุกท่านด้วยตัวเองที่แก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ขณะที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งมาร่วมงานด้วยเช่นกัน

นายรังสิมันต์ โรม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ก่อนเริ่มงาน ถึงกรณีมีกระแสสังคมตั้งคำถามว่าพรรคประชาชนสนใจเรื่องแก้รัฐธรรมนูญและการเตรียมการเลือกตั้งมากกว่าประชาชน ว่า มันไม่ได้หมายความว่าถ้าเราให้ความสำคัญเรื่องรัฐธรรมนูญ แล้วเราจะผ่อนในเรื่องสแกมเมอร์และปัญหาความมั่นคง มันไม่ได้หมายความว่าเราเลือกอย่างหนึ่งแล้วอีกอย่างหนึ่งจะต้องทิ้ง แต่ถ้าจะพูดในเรื่องของการเตรียมการเลือกตั้ง ตนคิดว่าถ้าเราไปดูพรรคต่างๆ เขาไปดูด สส. ดูดคนนั้นคนนี้เข้าไปเต็มพรรคไปหมด พรรคเหล่านี้อาจจะให้ความสำคัญเรื่องการเลือกตั้งมากทีเดียวเหมือนกัน หากจะมาโจมตีว่าพรรคประชาชนจะไม่สนใจความปลอดภัยของประชาชนหรืองานความมั่นคง ตนคิดว่ามันเป็นการโจมตีที่เป็นลักษณะของข่าวเท็จ ไม่ได้มีมุมความจริง

...

“ผมยืนยันกับประชาชนว่าวันนี้งานความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุดและการปราบปรามทุนสีเทา เป็นเรื่องที่เราจะต้องใช้โอกาสนี้ทำอย่างไรให้บรรดาพวกนักการเมืองที่เป็นมือไม้ เป็นคนที่พายเรือให้โจรนั่งทั้งหลาย เป็นพวกเทาๆ ดำๆ ทั้งหลาย ไม่เข้าไปนั่งในสภาฯ ไม่มีอำนาจรัฐ และจะได้ไม่ใช้อำนาจรัฐในการปกป้องทุนเทาที่กำลังจะมายึดประเทศไทย”

ขณะเดียวกัน นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีการโพสต์ผ่านโซเชียลช่วงหนึ่งว่า การเหยียบทุ่นระเบิดของทหารไทยเป็นอุบัติเหตุ ว่า ตนขอใช้โอกาสนี้แสดงความเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น และความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องอพยพ ในฐานะที่เป็นอดีตนักการเมือง และอดีตประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร มองสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วง และเห็นว่าการปะทะกันนั้นมีการยกระดับ รวมทั้งการใช้โดรน

นายรังสิมันต์ ระบุต่อไป หากพูดกันตรงไปตรงมา ฝ่ายความมั่นคงได้ประเมินกันอยู่แล้วว่าจะมีการยกระดับในทิศทางแบบใด ซึ่งต้องยอมรับว่าป้องกันได้ยากมากขึ้น แต่ถ้าหากมีการเตรียมตัวดีๆ เราก็สามารถเตรียมพร้อมและรับมือได้ ซึ่งฝ่ายทหารก็รับรู้และรับทราบเรื่องนี้ แต่ตนไม่รู้ว่าการสนับสนุนเครื่องมือในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้มีการปะทะกันอย่างเข้มข้น มีการเตรียมพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือมากน้อยเพียงใด รวมทั้งมองว่าต้องกำหนดให้ชัดว่าเหตุปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชา เราเน้นในการปกป้องประชาชน และบูรณภาพทางดินแดน ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำจึงมีหลายแนวรบ ไม่ใช่เฉพาะขาทหาร แต่ยังมีขาเรื่องปัญหาอาชญากรรม ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยรัฐ มีจุดมุ่งหมายทำลายเสถียรภาพของประเทศเรา นอกจากนี้ยังมีขาในเรื่องของการต่างประเทศ

ทั้งนี้ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ตนเป็นห่วงคือบทสนทนาที่นายอนุทิน ได้บอกต่อประชาชนว่าสหรัฐฯ เชื่อข้อเท็จจริงบางอย่าง ซึ่งไม่เป็นคุณต่อเรา ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านเป็นห่วงมาโดยตลอด เพราะปัญหาชายแดนไม่ใช่ปัญหาประเทศไทยและประเทศอื่นๆ แต่เป็นปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาที่จะต้องหาข้อยุติให้ได้ หากเรามีความขัดแย้งเพิ่มไปอีก จะทำให้ประเทศไทย บริหารสถานการณ์ที่วิกฤติได้ยากขึ้น ดังนั้นจึงต้องทำยุทธศาสตร์ ให้โลกล้อมกัมพูชา ไม่ใช่โลกล้อมไทย และรัฐบาลต้องใช้โอกาสนี้แก้ปัญหาแนวรบเรื่องนี้ให้ได้ ทหารเป็นผู้ปฏิบัติ ทำหน้าที่ปกป้องตามแนวชายแดน แต่ในเรื่องการต่างประเทศ ปราบสแกมเมอร์ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้ดีกว่านี้

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่นายอนุทินกำลังปฏิบัติอยู่ไม่ดี ไม่ดีจริงๆ ทำให้ประเทศไทยไม่ได้ใช้ความได้เปรียบอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดบรรยากาศโลกล้อมกัมพูชา และสุดท้ายในปลายทางของความขัดแย้ง ตนเป็นห่วงว่ารัฐบาลยังบริหารจัดการแบบนี้ไม่ได้ ประเทศไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในจุดที่ดีที่สุดอย่างที่เราควรจะได้ ส่วนภาพรวมไม่รู้ว่าใครพูดจริงหรือเท็จ เพราะไม่ได้อยู่ในห้องที่มีการสนทนากัน แล้ววันนี้ที่มีคำพูดออกมาว่าจะมีการหยุดยิงเวลา 22.00 น. ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นการสื่อสารจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่คิดว่าท่ามกลางความสับสนในเรื่องนี้ รัฐบาลมีหน้าที่ให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงกับประชาชนว่าข้อเท็จจริงคืออะไร และรัฐบาลต้องทำให้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่ดีที่สุด มีเพื่อนมากที่สุด และโดดเดี่ยวกัมพูชาให้ได้ นั่นคือภารกิจของรัฐบาลที่ต้องทำ

ส่วนคำถามว่าจะฝากการบ้านอย่างไรไปให้รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน นายรังสิมันต์ เผยว่า ไทยอยู่ในจุดที่ได้เปรียบหลายเรื่อง กัมพูชาไม่มีจุดได้เปรียบ แต่กลายเป็นว่างานข้อมูลข่าวสารกับต่างประเทศกลับมีแนวโน้มฝั่งกัมพูชามากกว่าไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องทำ คือต้องทำให้เข้าใจว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นฝ่ายที่ไม่ทำตามข้อตกลงคือกัมพูชา ไทยไม่ใช่ผู้รุกราน หรือทำลายสันติภาพ แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่เป็นผู้ริเริ่ม หากไม่สามารถทำให้เรื่องนี้เกิดความชัดเจนได้ ไทยจะไม่ใช่ประเทศที่ได้เปรียบนอกจากนี้ ต้องทำให้ทั่วโลกเข้าใจให้ได้ว่ากัมพูชาต้องการนำปัญหาความขัดแย้งเบี่ยงประเด็นการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ากัมพูชา งานของกระทรวงการต่างประเทศแรกๆ เหมือนจะดี แต่ตอนนี้กลายเป็นอ่อน จึงต้องเพิ่มการสื่อสารทำความเข้าใจ และรุกให้มากกว่านี้ เพิ่มช่องทางการสื่อสาร

“วันนี้เราต้องตั้งคำถามว่าเป้าหมายของนายอนุทินคืออะไร การปกป้องประชาชนและการบูรณภาพทางดินแดน ผมเข้าใจว่ามันต้องเดิน แต่ที่สุดไม่ได้มีแค่สนามตรงนั้นในการสู้ แต่หากเราใช้ความคิด ข้อเท็จจริง ข้อมูล ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึก ต้องเข้าใจว่าสนามรบไม่ได้มีแค่จุดนั้น แต่หากแพ้ในสนามอื่นสุดท้ายอาจจะเป็นโดมิโน่ได้ เพราะฉะนั้นจุดสำคัญคือนายอนุทิน ต้องมียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน ทั้งแนวรบด้านการทูต แนวรบด้านการปราบปรามอาชญากรรม ด้านการพูดและแนวโน้มด้านการปราบปรามอาชญากรรม หากสิ่งเหล่านี้อ่อนลงจะเป็นการเสริมจุดแข็งให้กับกัมพูชา”

ตนก็ไม่รู้ว่าจะจบอย่างไรแต่ต้องเอาข้อมูลความจริง พูดกับประชาชนตรงๆ ว่าสถานการณ์ถูกยกระดับไปถึงจุดใด ยอมรับว่าแนวหน้ามีความรุนแรงมาก โดรนราคาถูกมีการเตรียมไว้ 3,000 ลำ ซึ่งเป็นข้อมูลที่กองทัพรู้มาอยู่แล้ว จึงคาดหวังว่ารัฐบาลจะสนับสนุนว่าจะทำอย่างไรให้สามารถปกป้องบูรณภาพดินแดนและประชาชนได้อย่างเต็มที่ พร้อมยอมรับว่าการสู้รบย่อมมีการสูญเสีย ไม่อยากให้ลูกหลานที่อยู่ในแนวหน้า ได้รับความสูญเสีย จึงอยากให้มีเครื่องไม้เครื่องมือในการปกป้องชีวิตของพวกเขาอย่างสูงสุด.