เด็กเพื่อไทย จี้ “อนุทิน” เร่งคลอดมาตรการเยียวยาคนอุบลฯ ที่หนีภัยสงคราม ซัดลอยแพชาวบ้าน 65,000 คนในศูนย์อพยพ ปล่อยอดข้าวอดน้ำ เหตุงบไม่เพียงพอ
วันที่ 13 ธันวาคม 2568 นายวัชรพล เชื้อคง ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต 10 อำเภอน้ำยืน อำเภอน้ำขุ่น อำเภอศรีอุดม และอำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ภายหลังที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศยุบสภา เพราะต้องการหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นต่อประธานสภา ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ นายอนุทินและคณะรัฐมนตรีเลือกหนีการตรวจสอบทางการเมือง
นายวัชรพล ระบุว่า นายอนุทิน อาจจะหนีการตรวจสอบทางการเมืองได้ แต่จะหนีความรับผิดชอบต่อชีวิตของพี่น้องประชาชนไม่ได้ เพราะผลจากสงครามส่งผลให้ประชาชนคนอุบลราชธานีและจังหวัดที่มีพื้นที่ติดชายแดนหลายแสนคนที่อยู่ในศูนย์อพยพและบ้านญาติตามพื้นที่ต่าง ๆ ต้องหนีตายจากการสู้รบในพื้นที่มาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย
นายวัชรพล กล่าวด้วยว่า ในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นจุดที่มีการสู้รบกันหนักมาก ระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา ส่งผลให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่อำเภอน้ำขุ่น อำเภอน้ำยืน และอำเภอนาจะหลวย ต่างพากันทิ้งพื้นที่หนีตายอพยพมาพักอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพตามพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีการเตรียมการกันไว้ รวมทั้งสิ้นมากกว่า 65,568 คน เวลานี้หลายคนไม่ได้รับอาหารและน้ำดื่ม เพราะจำนวนอาหารที่รัฐเตรียมไปไม่เพียงพอกับผู้อพยพ น้ำดื่มก็ขาดแคลน รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร กระทรวงมหาดไทยเลือกที่จะทอดทิ้งคนเหล่านี้ใช่หรือไม่ หรือมีใครหาประโยชน์จากงบประมาณค่าอาหารของพี่น้องประชาชนที่มาพักอาศัยภายในศูนย์อพยพ ส่งผลให้การดูแลของรัฐไม่ทั่วถึง
...
“การสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชารอบนี้หนักกว่ารอบที่ผ่านมา รอบนี้นายอนุทินเลือกจะโยนความผิดให้ใคร เพราะที่ผ่านมาพยายามปั่นกระแสว่าต้นเหตุการสู้รบมาจากสองตระกูลทะเลาะกัน วันนี้การสู้รบหนักกว่ามีทหารกล้าที่สู้รบตามแนวชายแดนพลีชีพและชาวบ้านเสียชีวิต นายอนุทิน จะโทษใครอีก นายอนุทิน จะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะแม้เป็นรัฐบาลรักษาการ แต่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ มีอำนาจในการดูแลประชาชน นอกจากนี้ความสูญเสียที่เกิดขึ้น รัฐบาลจะเยียวยาอย่างไร ประชาชนในพื้นที่จะได้รับการเยียวยาจากรัฐหรือไม่ สามารถออกไปทำมาหากินไม่ได้ บ้านเรือนเสียหาย ชาวบ้านจะหาเงินจากที่ไหนไปซ่อม นายอนุทิน ควรวางการเมืองแล้วให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่านี้”