พรรคประชาชน ประกาศพร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง แก้วิกฤตรุมล้อมประเทศ “เท้ง” ขอโทษประชาชนผลักดันวาระแก้รัฐธรรมนูญ ไม่สำเร็จ แต่ยังมีความหวังกระบวนการทำ รธน. ใหม่
วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคประชาชน กล่าวถึงความพร้อมในการเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง และการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังมีความชัดเจนเรื่องการยุบสภา
โดยนายณัฐพงษ์ ระบุว่า นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลแม้จะชนะการเลือกตั้งมาเป็นพรรคการเมืองอันดับหนึ่ง มีการทำเอ็มโอยูกับฝั่งพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่สามารถผลักดันการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ เนื่องจากมีเสียง สว. และการฉีกข้อตกลงเอ็มโอยูลง 2 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งถึง 2 คน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 2 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลถูกยุบกลายมาเป็นพรรคประชาชน ผ่านกระบวนการนิติสงครามมามากมาย ทำให้พรรคประชาชนมองเห็นว่าไม่สามารถที่จะผลักดันประเทศไทยไปได้ไกลกว่านี้ถ้าไม่เดินหน้าการแก้ไขระบบการเมือง กติกาสูงสุดของประเทศ ให้เป็นกติกาที่เป็นไปตามหลักสากล มีความเป็นประชาธิปไตยเสียก่อน นั่นคือการมุ่งหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
...
จึงเป็นที่มาที่พรรคประชาชนได้มีการทำข้อตกลงเอ็มโอเอ กับทางพรรคภูมิใจไทย แต่ท้ายที่สุดผลจากการลงมติในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเมื่อวาน (11 ธ.ค.) รวมถึงสถานการณ์ล่าสุดที่ได้มีการประกาศยุบสภาไปแล้วโดยนายกรัฐมนตรี ตนในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่พรรคประชาชนยังผลักดันไม่สำเร็จ และขอโทษต่อประชาชนที่ภารกิจในครั้งนี้ แม้พรรคประชาชนจะผลักดันอย่างเต็มที่แล้วภายใต้ข้อจำกัดทางการเมืองที่เป็นอยู่ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดได้ ในการเดินหน้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปพร้อมกับการเลือกตั้งในครั้งหน้า
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่างน้อยเมื่อวานที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภายังมีมติให้มีคำถามประชามติในครั้งที่ 1 ซึ่งตอนนี้เป็นข้อผูกพันตามกฎหมายตาม พ.ร.บ.ประชามติ ที่ได้ส่งคณะรัฐมนตรีแล้ว หวังว่าคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการตามข้อกฎหมายที่เป็นอยู่ ในการจัดการเลือกตั้งครั้งหน้าพร้อมกับการจัดทำประชามติในส่วนของคำถามที่ 1 เพื่ออย่างน้อยยังทำให้กระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังเดินหน้าได้อยู่
ในส่วนของพรรคประชาชนเอง วันนี้ตนขอประกาศความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตอนนี้พรรคประชาชนมีความพร้อมในการส่งผู้สมัครครบทุกจังหวัดทั่วทั้งประเทศ ที่ผ่านมาในส่วนของพรรคประชาชนเองที่เดินทางมาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ ไม่ได้ต้องการตั้งพรรคการเมืองมาทำงานการเมืองเพื่ออยากเข้ามาเป็นรัฐบาลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องการได้จำนวนเก้าอี้ สส. ในสภาเพื่อต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง พรรคประชาชนเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ในช่วงบริบททางการเมืองที่ผ่านมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 จนถึงปี 2566 พรรคประชาชนเล็งเห็นแล้วว่าตราบใดที่เสียงของประชาชนยังไม่เข้มแข็งพอ โดยที่พรรคประชาชนซึ่งเป็นยานพาหนะยังไม่สามารถรวบรวมเสียงของประชาชนได้เข้มแข็งพอ ยังไม่สามารถที่จะเอาชนะระบบกติกาทางการเมืองที่ฉุดรั้งประเทศไทยอยู่ในปัจจุบันได้ ดังนั้น สำหรับภารกิจในครั้งหน้าพวกตนยังมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม พรรคประชาชนเชื่อว่ามีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะไม่หักหลังประชาชนด้วยกันเอง
ภารกิจของพรรคประชาชนในครั้งต่อไปคือการมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งโดยเอาหลังพิงประชาชนให้มากที่สุด ให้ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พรรคประชาชนมากที่สุด ด้วยชุดนโยบายทั้ง การเปิดตัวคณะผู้บริหารต่อจากนี้ รวมทั้งการประกาศความพร้อมที่จะมีผู้สมัครครบทุกจังหวัดทั่วทั้งประเทศ เพื่อทำให้พรรคประชาชนเติบโตเข้มแข็งมากเพียงพอที่จะสามารถกำกับทิศทางของรัฐบาลชุดหน้า เพื่อทำให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าไปได้ไกลกว่านี้ได้
นายณัฐพงษ์ ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการผิดเอ็มโอยูหรือไม่ โดยระบุว่า หากยึดตามข้อตกลงเอ็มโอเอที่เป็นลายลักษณ์อักษร ก็เป็นไปตามเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีให้ เพราะตามข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติเอ็มโอเอไม่สามารถที่จะลงรายละเอียดได้ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่ลงนามอยู่แล้ว ว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญจะเป็นแบบไหน และถ้าย้อนไปดูบันทึกในที่ประชุมกรรมาธิการวิสามัญ ก็จะเห็นว่ามีการถกเถียง มีเหตุผลที่แตกต่างหลากหลายจาก สส. แต่ละพรรครวมถึง สว. เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติหลักของเอ็มโอเอ ต้องวางไว้เป็นหลักกว้างๆ ที่พรรคประชาชนมีจุดมุ่งหมายนอกจากการยุบสภาโดยเร็วที่สุดแล้ว ก็คือต้องมีการเดินหน้าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดด้วย
แต่ในทางปฏิบัติ ตนอยากชวนทุกคนย้อนกลับไปดูว่าตั้งแต่ร่างของกรรมการเสียงข้างมากที่มีตัวแทนจากทุกพรรคที่ผ่านมา ไม่มีเรื่องของ สว. 1 ใน 3 รวมทั้งมติวิปรัฐบาลที่ออกมาก่อนที่จะมีการลงมติในสภาเมื่อวานที่ผ่านมา ทุกอย่างสอดคล้องกันในทิศทางเดียวกันว่าพรรคภูมิใจไทยเห็นด้วยกับร่างของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ว่าจะไม่มีเสียง สว. 1 ใน 3 อยู่ แต่ตนเริ่มได้รับทราบข้อเท็จจริงในช่วงเที่ยงของเมื่อวานที่ผ่านมา ว่าท่าทีของพรรคภูมิใจไทยอาจไม่ลงมติตามมติของวิปรัฐบาล
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกันตั้งคำถามต่อนายกรัฐมนตรีโดยตรง ว่าเหตุใดพรรคภูมิใจไทยถึงเลือกที่จะลงมติสวนต่อมติวิปรัฐบาลของตัวเอง พรรคประชาชนได้แสดงจุดยืนก่อนหน้านี้มาตลอดแล้ว ด้วยการทำงานผ่านกรรมาธิการหรือการประสานงานกันโดยตลอดระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง ว่าพรรคประชาชนไม่สามารถจะยอมรับได้ถ้ามีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญที่ยังคงอำนาจ สว. 1 ใน 3 ไว้อยู่ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการผิดหรือไม่ผิดเอ็มโอยู ตนอยากให้มีการถามคำถามในเชิงปฏิบัติกับนายกรัฐมนตรีด้วย
ส่วนกระบวนการต่อไปในครั้งหน้า อย่างน้อยเงื่อนไขตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็คือคำถามที่ 1 ที่จะต้องมีการจัดทำประชามติก่อน ซึ่งตอนนี้รัฐสภาได้ผ่านญัตติไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นข้อผูกมัดตามกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีรักษาการจะต้องดำเนินการตาม เพราะฉะนั้นความหวังในการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มที่ และในการเลือกตั้งครั้งหน้ายิ่งเสียงของประชาชนเห็นด้วยกับพรรคประชาชนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีโอกาสในการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ความสำเร็จมากขึ้นได้เท่านั้น